TSE เปิดแผนโค้งสุดท้ายปี 67 ลุ้นโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 คาดชนะประมูลไม่น้อยกว่า 100-150 เมกะวัตต์ เข้าถือหุ้น คลินิก IVF สร้าง New S-Curve คาดปิดจ๊อบภายในสิ้นปีนี้ หนุนผลงานปี 68 โตติดปีก เผยงบ 9 เดือนปี 67 กวาดรายได้กว่า 989 ล้านบาท กำไรสุทธิ 255 ล้านบาท
ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของไตรมาส 4/2567 กลุ่มบริษัทอยู่ในระหว่างการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ซึ่งใช้เกณฑ์การคัดเลือกโดยพิจารณาจากผู้ที่ผ่านการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (scoring) ในเฟสแรกแต่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจะได้สิทธิ์ในการพิจารณาก่อน โดยบริษัทคาดหวังว่าจะชนะประมูลอย่างน้อยประมาณ 100-150 เมกะวัตต์ และบริษัทยังพร้อมเข้าร่วมประมูลเฟส 3 ในปีหน้าด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าลงทุนการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) ที่จะสามารถรับรู้กระแสเงินสดได้ทันที และจับมือกับพันธมิตรในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ทั้งในรูปของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในโครงการที่มีผลการดำเนินงาน และให้ผลตอบแทนคุ้มค่าสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอ รวมถึงยังมีการศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะเองด้วยเช่นกัน ควบคู่ไปกับการเข้าลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) ในรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ เช่น Direct PPA และ ESCO Model PPA ซึ่งเป็นการขายพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ ทั้งกับภาครัฐและเอกชนแบบครบวงจร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
กลุ่มบริษัทยังคงเดินหน้าขยายสายธุรกิจใหม่ด้านธุรกิจสุขภาพ โดยร่วมทุนกับนายแพทย์วิวรรธน์ ชินพิลาศ ดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ IVF (In-vitro Fertilization) และจะขยายไปสู่ธุรกิจเสริมความงาม, Wellness และธุรกิจด้านเภสัชกรรม เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม โดยบริษัท เวิลด์ โซล่าร์ จำกัด (World Solar) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TSE จะเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด (100%) ของบริษัท บางกอก อินเฟอร์ทิลิตี้ เซ็นเตอร์ จำกัด (BIC) ซึ่งประกอบกิจการสถานพยาบาล ทางด้านเวชกรรมสาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา, การรักษาผู้มีบุตรยาก (คลินิก บางกอก ไอวีเอฟ เซ็นเตอร์) ซึ่งหลังเข้าทำธุรกรรม World Solar จะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท บีทีเอช จำกัด” และบริษัทฯจะถือหุ้นในสัดส่วน 51% คาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/2567 เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับกลุ่มบริษัทฯ
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวมสำหรับงวดสามเดือน จำนวน 316 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 989 ล้านบาท มี EBITDA อยู่ที่ 698 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 255 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าลดลง เนื่องจากได้สิ้นสุดสัญญารายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
จากการดำเนินงานตามปกติของกลุ่มบริษัทฯ ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมด 41 โครงการ กำลังการผลิตเสนอขายรวม 241.86 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 34 โครงการ และโครงการที่ยังไม่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อีก 7 โครงการ
แม้กลุ่มบริษัทฯอาจได้รับผลกระทบจากการลดลงของรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บางโครงการ แต่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าชีวมวลของกลุ่มบริษัทฯยังสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และมีรายได้จากการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ตลอดอายุสัญญา
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Repowering, Replacement and Upgrade Efficiency) ของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นถึง 15-20% ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนเนื่องจากต้นทุนของอุปกรณ์หลักถูกลง และมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้สามารถชดเชยในส่วนของเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ได้บางส่วน
อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ (Corporate loan) จำนวน 1,276 ล้านบาท และการไถ่ถอนหุ้นกู้คืนก่อนกำหนดกว่า 1,175 ล้านบาท ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพในการดำเนินงานด้านธุรกิจ ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอัตรากำไรในธุรกิจ อีกทั้งยังมีความพร้อมและพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ต่อไป