SCB EIC ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 67-68 ในวันที่แรงส่งหลักทยอยหมดไป ส่งสัญญาณ GDP 2 ปีนี้ โตต่ำ 2.5-2.6% ผลกระทบจาก ศก.โลก ชะลอตัวหากสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย คาดเฟดลดดอกเบี้ยรวม 2% ส่วนในประเทศแรงส่งภาคบริโภคแผ่ว ภาคลงทุนหดตัว เหลือแค่ ‘ท่องเที่ยว’ ภาคการเงินตึงตัว หวังกนง.ลดดอกดบี้ย 0.50% จี้รัฐบาลแก้โจทย์หิน ’หนี้ครัวเรือน-เอสเอ็นอี‘ เตือนกรณีแย่สุด ศก.โลก ถดถอยรุนแรง การเมืองไทยมีปัญหา คาด GDP โต 1.9%
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) นำทีม EIC คุณนนท์ พฤกษ์ศิริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส และคุณฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ร่วมกันวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ภายใต้คงามไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 2568 ดังนี้
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลังจากเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งปีแรกภาพรวมทั้งปี 2567 จะขยายตัว 2.7% และมีแนวโน้ม Soft landing ขยายตัวเร่งขึ้นเล็กน้อยที่ 2.8% ในปี 2568 แม้ว่าขณะนี้ตลาดจะเริ่มกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Hard landing) ได้ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เพราะอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเร็วจนเข้าเกณฑ์ของดัชนีเตือนเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะ Soft landing ยังมีสูงกว่ามาก หากดูจากแรงส่งที่ดีของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักในช่วงครึ่งปีแรก และข้อมูลเร็วสะท้อนการขยายตัวในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ อัตราการว่างงานสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอุปทานแรงงานเพิ่มขึ้นด้วย นอกเหนือจากความต้องการจ้างงานที่ลดลง
คาดศก.โลกชะลอตัวจากสหรัฐ คาดเฟด ลดดอกเบี้ยรวม 2%
เศรษฐกิจโลกจะมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ ธนาคารกลางหลักจะทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะข้างหน้าจากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ซึ่งจะช่วยดูแลเศรษฐกิจและลดโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยได้ โดยในช่วงที่เหลือของปี 2567 และ 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 200 BPS หรือ 2% และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกรวม 150 BPS หรือ 1.50% หลังจากลดไป 25 BPS ในช่วงเดือนมิถุนายน ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงจะช่วยให้ความต้องการบริโภคอุปโภคทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลงและเปราะบางมากขึ้นในระยะปานกลาง ทั้งจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ นำไปสู่การปรับห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลกรวมถึงการออกมาตรการกีดกันระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นและขยายมิติ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ไม่กลับไปอยู่ในระดับต่ำเช่นค่าเฉลี่ยในอดีตได้อีก ทั้งนี้การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งทั่วไปปลายปีนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการค้าโลกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะส่งผลให้โลกแบ่งขั้วเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานเร็วขึ้น
สัญญาณเศรษฐกิจไทย 2 ปีนี้ โตต่ำ ดีมานด์ในประเทศแผ่ว เหลือ ‘ท่องเที่ยว’
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย SCB EIC ประเมินว่า GDP ขยายตัวต่ำในปี 2567และ 2568 ที่ 2.5% และ 2.6% ตามลำดับ ในระยะต่อไปภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแรงส่งหลักที่เหลืออยู่ของเศรษฐกิจไทย SCB EIC ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ที่ 39.4 ล้านคน โดยการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังถูกกดดันจากแนวโน้มการ กลับมาของนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์
ขณะที่การส่งออกไทยปี 2568 ยังเติบโตต่ำกว่าในอดีต ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง การผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่แม้เริ่มทยอยฟื้นตัวตามการส่งออกสินค้าที่ปรับดีขึ้นบ้าง แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากสินค้าคงคลังสูงและอุปสงค์ในประเทศเปราะบาง
การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยในปีนี้ แต่จะกลับมาขยายตัวได้ในปีหน้าตามมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ Board of Investment ที่ปรับดีขึ้นมาก แต่การลงทุนจะยังเติบโตได้ไม่มากนักจากภาคก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่ำและการลงทุนยานพาหนะที่ใช้เวลาฟื้นตัวจากภาวะสินเชื่อตึงตัว
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนจะแผ่วลงมากในสินค้าคงทน โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ที่หดตัวต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้ภาคเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัว ตามทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่จะลดลงในปีหน้า ทั้งยังถูกกดดันจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ชะลอลงต่อเนื่องเพราะคุณภาพสินเชื่อด้อยลง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจไทยปีหน้าจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2567 ที่ยังต่ำ จึงมีแนวโน้มจะลดการใช้จ่ายสินค้าและบริการไม่จำเป็นมากขึ้น
แนวโน้มดอกเบี้ยโลกและไทย -คาดเงินบาทอ่อนในช่วงสั้น
SCB EIC ประเมิน กนง. มีแนวโน้มเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. และต่อเนื่องช่วงต้นปีหน้าไปอยู่ที่2% โดบลดรวมกัน 0.50% จากปัจจุบัน 2.5% จากสัญญาณอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากภาวะการเงินตึงตัวนาน สำหรับค่าเงินบาท ช่วงที่ผ่านมาแข็งค่าเร็วหลังดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ราคาทองคำสูงขึ้น และความกังวลการเมืองไทยที่คลี่คลาย
“ก่อนหน้านี้ตลาดคาด Fed จะลดดอกเบี้ยแรง จนทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าไปล่วงหน้า จนกระทบเงินบาทแข็งค่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ SCB EIC คาดว่า ช่วงที่เหลือในปีนี้ Fed จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) รวม 0.75% ในระยะสั้นเงินบาทอาจอ่อนค่าเล็กน้อยจากปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก่อนกลับสู่เทรนด์แข็งค่าตาม Easing cycle ของสหรัฐฯ สำหรับ ณ สิ้นปี 2567 และ 2568 ประเมินเงินบาทอยู่ในกรอบ 34 – 34.5 บาทต่อดอลลาร์ และ 33 – 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ภายใต้การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้และปีหน้า รวม 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.25-5.50%“ ดร. สมประวิณกล่าว
กรณีเลวร้าย โลกถดถอยรุนแรง การเมืองไทยไม่เสถียร GDP โตต่ำสุด 1.9%
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้า 2568 มีความเเสี่ยงด้านต่ำอยู่ในระดับสูงจากปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งในประเทศและนอกประเทศ ใน 3 เงื่อนไขสำคัญ 1 เศรษฐกิจโลกถดถอยแบบรุรแรง จากสหรัฐที่เดินนโยบายการเงินลดความตึงตัวได้ช้า จะกระทบต่อการค้าโลก และส่งออกไทยเติบโตต่ำกว่าคาด การลงทุนไม่ฟื้นตัวกลับมา 2 การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ทำให้แรงกระตุ้นภาคคลังไม่ต่อเนื่อง เบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า และ 3 ภาคการเงินตึงตัว เข้าไม่ถึงสินเขื่อ กระทบเศรษฐกิจแรงขึ้นไปอีก การบริโภคชะลอตัวมาก ในกรณีเลวร้ายนี้ คาด GDP โตต่ำ 1.9% เท่านั้นและคาดจะเห็นใช้นโยบายดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ 1.5% ซึ่งโอกาสจะเป็นไปได้ 50 %เท่านั้น“
จี้รัฐบาลแก้โจทย์หิน ’หนี้ครัวเรือน-เอสเอ็นอี‘
การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มเติมจะมีข้อจำกัดมากขึ้นจากภาระการคลังสูง โดย SCB EIC ประเมินว่าขณะที่โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลใช้วงเงินสูง แต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่และชั่วคราว ส่งผลให้หนี้สาธารณะไทยอาจมีแนวโน้มชนเพดานในปี 2570โดยปีหน้าอาจจะสูงแตะ 70%ของ GDP
นโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนของ ครม. ชุดใหม่เป็นการสานต่อนโยบาย ครม. ชุดก่อน โดยมีจุดเน้นมากขึ้นที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจกลุ่มเปราะบาง SCB EIC ประเมินชุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะสั้น จะส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ท่องเที่ยว และภาคเกษตร ขณะที่ธุรกิจที่มีแรงงานขั้นพื้นฐานในสัดส่วนสูงจะได้รับผลกระทบด้านต้นทุน และธุรกิจพลังงานอาจได้รับผลกระทบด้านรายได้
สำหรับนโยบายส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน จะส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมที่สอดรับเทรนด์โลก และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สำหรับนโยบายสิ่งแวดล้อมยังเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสให้หลายธุรกิจต้องปรับตัว ภาคธุรกิจไทยยังต้องเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างฟันเฟืองการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากรอบด้าน โดยเฉพาะ 1) อุตสาหกรรมยานยนต์ที่อาจสูญเสียกำลังการผลิตในประเทศไปราว 40% หากการปรับตัวของค่ายรถยนต์ไม่เท่าทันกับกระแสนิยมที่กำลังเปลี่ยนไป และ 2) ผู้ประกอบการ SME เผชิญแรงกดดัน จากกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง อีกทั้ง ยังถูกซ้ำเติมจากการตีตลาดจากสินค้านำเข้า กระบวนการผลิตและการตลาดล้าสมัย ดังนั้น การผลักดันให้ภาคธุรกิจเหล่านี้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่กับนโยบายยกระดับความสามารถทางการเเข่งขันในระยะยาว