เข้าสู่โค้งท้ายของปี 2564 เป็นจุดเปลี่ยนของธนาคารกลางในประเทศมหาอำนาจหลาย ๆ แห่ง ต่างทยอยปรับเข็มทิศการดำเนินนโยบายการเงินกันเพื่อให้เมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่พลิกฟื้นกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ แต่มีความเสี่ยงรอบด้านที่ฉุดรั้งอยู่ ล้วนมีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่า หุ้น ทองคำ น้ำมัน และบิทคอยน์ จะมีทิศทางอย่างไรที่กำลังอยุ่ในช่วงก้าวข้ามสู่ปีหน้าปี 2565
มาฟังคำตอบของ“ณพวีร์ พุกกะมาน” นักลงทุนรุ่นใหม่เทรดตลาดต่างประเทศ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่มีมุมมองโค้งท้ายปีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกขาขึ้น เพราะอะไร
จากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) รอบสุดท้ายของปีนี้ (2-3 พ.ย. ที่ผ่านมา) มีมติปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
“ณพวีร์” มองว่าผลประชุมดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต่างจากการปรับลดวงเงินการทำ QE ครั้งแรกในช่วงปี 2014 ซึ่งราคาสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นทองคำ ตลาดหุ้น ต่างปรับตัวลดลงทั้งหมด
“ผมมองว่าการลงทุน Global Investment ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2564 และต้นปีหน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจากสถิติในอดีตของการปรับลดวงเงิน QE ระยะสั้นเม็ดเงินจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดสหรัฐฯก่อนเสมอ ตลาดหุ้นอเมริกาจึงฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดหุ้นเอเชียและประเทศเกิดใหม่”
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังคงมีความน่าสนใจในระยะยาว โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน หากคลายความกังวลเรื่องการเข้ามากำกับดูแลภาคเอกชนของรัฐบาล ตลอดจนความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าเม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง รวมถึงตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง โดยหุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม จะได้รับผลบวกโดยตรงและกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี แม้จะไม่มีแรงหนุนจากการปิดเมือง ในภาพรวมของกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้จะหนุนให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อได้
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ ยังมองภาพไม่ชัดเจนจากแรงกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีโอกาสแข็งค่าต่อ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนราคาทองคำ แต่น่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะหากทั่วโลกมีการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานได้และราคาน้ำมันกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง จะทำให้อัตราเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลง
“นักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน “ทองคำ” เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกที่เข้ามาส่งเสริมทำให้ภาพการฟื้นตัวของราคาทองคำยังไม่ชัดเจน และมีแนวโน้มราคาปรับตัวลงต่อได้อีก หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้ กราฟเทคนิคของทองคำยังเป็นขาลง โดยมีแนวรับระดับ 1,676 -1,720 ดอลลาร์สหรัฐฯ”
ด้านราคาน้ำมัน แม้จะมีการทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายปี แต่อัพไซด์ราคาจำกัดแล้ว ภาพรวมการปรับตัวของราคาจึงไม่ใช่ขาขึ้น และปัญหาการขาดแคลนพลังงานจากการเปิดเมืองจนเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร็วเกินกว่าคาดในหลาย ๆ ประเทศ กำลังถูกเร่งแก้ไขจนในที่สุดดีมานด์และซัพพลายของน้ำมัน เริ่มกลับมาสมดุลและหลังจากนี้ราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวจากการที่ประเทศผู้นำการขุดน้ำมันอย่าง ซาอุดิอาระเบีย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก กำลังให้ความสำคัญและมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
“ณพวีร์” แนะว่า ส่วนผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตลงทุนไปยังสินทรัพย์ทางเลือก “บิทคอยน์” ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงหลังจากนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่นักลงทุนสถาบันเริ่มสนใจนำเงินมาลงทุนมากขึ้น และต้องจับตาว่า ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ จะมีการอนุมัติกองทุน ETF ของบิทคอยน์หรือไม่ ถ้าหากมีการอนุมัติจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นได้ในระยะยาว ล่าสุดราคามีการทำจุดสูงสุดใหม่ และกราฟเทคนิคมีโอกาสที่จะเห็นราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นในระดับ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“การบริหารพอร์ตการลงทุน ควรแบ่งเงินไปลงทุนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก อยากให้แบ่งเงินลงทุนบางส่วนในสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างบิทคอยน์ เหรียญที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนการลงทุนสูง แต่อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนครั้งนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง และไม่เกิดการกลายพันธุ์ใหม่อีกครั้ง จนต้องระงับการเปิดเมืองในหลาย ๆ ประเทศ” ณพวีร์ กล่าวทิ้งท้าย