รมว.คลัง ’พิชัย‘ ปลุก บจ. เล็ก-กลาง เข้าโครงการ Jump+ เสิร์ฟทั้งที่ปรึกษาช่วยเพิ่มมูลค่าธุรกิจ เติบโตแกร่ง และแหล่งเงินทุน พ่วงสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมปลุกเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย ‘อัสสเดช’ ลุ้นโบนัสพิเศษ ’ภาษี‘ ผ่านครม สัปดาห์หน้า หวังจูงใจบจ. เข้าJUMP+ มากขึ้น เผยปีแรก ตั้งเป้า บจ. เข้าร่วม 50-100 ราย CMDF พร้อมสนับสนุนเงินทุน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมประชุมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (โครงการ Jump+) แก่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในวันนี้ (20 มิ.ย.) ว่า หลักการของการทำโครงการ Jump+ คือ ช่วยกันพัฒนาบริษัทกลางและบริษัทเล็ก ให้มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ ยังไม่มีบุคลากร ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะจ้างที่ปรึกษาการเงิน ดังนั้นโครงการนี้จะเข้ามาข่วยสนับสนุนบริษัทที่อยากจะพัฒนาศักยภาพการเติบโต ซึ่งการประชุมนี้เป็นการชี้แจงว่า ถ้าเข้าโครงการนี้ บจ. จะต้องทำอะไรบ้างเป็นการวางแผนภายใน 1 ปี เช่น ผลประกอบการ การเติบโตของกำไร เป็นต้น เป็นการหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันกับที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นการทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจและเมื่อมีการทำแผนแล้ว จะต้องมาเปิดแผนและ สิ่งที่คาดหวังจะได้ ให้แก่นักลงทุนทราบด้วย
“การที่ดัชนีขึ้น ฃหรือลงก็ขึ้นอยู่กับความมั่นใจต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ถ้าความเชื่อมั่นลดลงก็ส่งผลกระทบกับตลาดด้วย แต่ผมเชื่อว่าตลาดทุนจะอยู่คู่กันไปเป็นทางเลือกของนักลงทุน เมื่อตลาดลงมาแล้วก็ดูอยู่จุดไหน ตอนนี้(ดัขนี)อยู่ต่ำมากๆเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ที่ปรับลดลงเพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ถ้าเข้าใจว่าบริษัทไหนที่บรืหารได้ดี ในระยะปานกลางถึงยาวสามารถฟื้นตัวและอยู่ได้ ส่วนความเชื่อมั่นมีหลายอย่าง ทั้งกฎเกณฑ์ของตลาดที่ออกมาเยอะแล้ว เพื่อปิดช่องว่างของนักลงทุนไทยรายใหญ่และรายเล็กและนักลงทุนต่างประเทศในแง่ของการเปิดเผยข้อมูลการขายหุ้น เช่น Naked Short Selling การลงโทษเอาผิดเมื่อพบว่าลงทุนไม่ถูกต้อง แม้ตอนนี้ดัชนีฯจะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต แต่ตลาดทุนยังคงเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ หากนักลงทุนมองระยะยาวและเข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจ ก็ยังมีโอกาสเติบโต นักลงทุนอาจจะต้องคิดใหม่ไม่ใช่ซื้อเช้าขายบ่าย แต่ซื้อเก็บยาว“
สำหรับรัฐบาลจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตอนนี้รัฐบาลจะไม่ได้กระตุ้นที่การบริโภคโดยตรง แต่จะเน้นการแก้ปัญกาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างเกือบ 10 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ EEC มีปัญหาด้านน้ำ พลังงาน ท่องเที่ยว การแก้ไขกฎหมายต่างๆ การถือครองที่ดินต่างชาติซื้อได้หรือไม่ นี่คือเรื่องของการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะนำไปสู่เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาว
ส่วนการพิจารณางบประมาณปี 2569 มั่นใจว่า จะผ่านพ้นไปได้ดี เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ และรัฐบาลจะต้องหาวิธีในการจัดการเรื่องนี้ได้
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมวันนี้มีบริษัทจดทะเบียน 40 รายที่เข้าร่วมรับฟังการทำโครงการ Jump+ ถือเป็น Preview เท่านั้น หลังจากนี้ ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ จะมีการประชุมเชิญบริษัทต่างๆที่สนใจเข้าร่วมฟังรายละเอียดการดำเนินการของโครงการ ซึ่งเป็นการยกระดับศักยภาพบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็ก พร้อมทั้งจะเป็นวันแรกในการเปิดรับลงทะเบียนสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่สนใจ โดยโครงการ Jump+ จะช่วยสนับสนุนธุรกิจบจ.ที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตได้อย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ สำหรับเป้าหมายในปีแรก คาดจะมีบริษัทเข้าร่วม 50 - 100 ราย
สำหรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่จะดึงดูด บจ. ให้เข้าร่วมโครงการJump+ นายอัสสเดช กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการหารือกับกระทรวงกรมสรรพากรแล้ว และขณะนี้กรมสรรพากรกำลังพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยคาดว่า กระทรวงการคลังจะมีการเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวให้แก่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า ก่อนจะถึงวันประชุมฯวันที่ 26 มิ.ย. นี้
นายอัสสะเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า หากโครงการ Jump+ ได้รับการอนุมัติสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็ถือเป็นโบนัสพิเศษแก่บจ. ที่เข้าร่วมโครงการนี้ และจะเป็นแรงจูงใจให้เข้ามาร่วมจำนวนมากชึ้น แต่หากไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ นี้ ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจของบจ. เพราะโครงการนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นในการสนับสนุน ทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน แหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจ เป็นต้น
นายจักรชัย บุญยวัตร ผู้จัดการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) กล่าวว่า CMDF จะเข้ามาสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนให้แก่โครงการ Jump+ ของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจะนำไปดำเนินการพัฒนาบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว ปัจจุบัน CMDF มีเงินกองทุนประมาณ 5,500 ล้านบาท