ในช่วงเวลา 2 เดือนของ “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ป้ายแดงที่ปักธงเข้ามารับทำงานหนักทั้งโจทย์ใหญ่ที่ต้องรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจใต้การค้าโลกที่แข่งดุดัน ควบคู่ไปกับเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศที่สะสมมานานและฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจมานานหลายปี โดยล่าสุด “วิทัย” กล่าวในงาน GovernorConnect สัญจร ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
บทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติหลักๆ คือ ดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคผ่านการใช้นโยบายการเงิน เสถียรภาพเศรษฐกิจ ก็คือ เงินเฟ้อต่ำควบคุมได้ สถาบันการเงินแข็งแรง ระบบการชำระเงินเข้มแข็งและก็มีเสถียรภาพ
แต่ว่า ปัญหาความเสี่ยงของไทย อาจจะไม่ได้อยู่ที่่เรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมาก ประเด็นที่ธปท. อยากจะขยายและอยากเข้าไปดูแลปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างโดยการออกมาตรการเฉพาะจุดในการแก้ปัญหาบางเรื่องและหลายๆเรื่องเป็นสิ่งที่เราพูดตลอดเวลาว่า ในช่วงเกือบๆ 2 เดือนที่ผ่านมา ก็พยายามทำตลอด หน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจก็ทำไป
“แต่เราก็ขยายบทบาทเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจเข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆด้วยในบริบทที่แบงก์ชาติควรจะทำ ขอย้ำว่าไม่ได้ทำทุกเรื่อง ทำในสิ่งที่ควรทำ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะสอดคล้องกับค่านิยมของเรา ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน ถ้าเราเข้าไปอยู่ใกล้ชิดประชาชน อยู่ใกล้ชิดปัญหา เข้าไปร่วมแก้ปัญหามากขึ้น ก็เหมือนกับเรายื่นมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเชิงสังคม ช่วยแก้ปัญหาเชิงเศรษฐกิจ ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและได้อยู่ใกล้กับประชาชนและใกล้กับสังคมมากขึ้น ถ้าทำอย่างนี้ เราก็ต้องออกมาตรการเฉพาะจุดเข้ามาเสริม”
@ 'ปิดหนี้ไว ไปต่อได้' แก้หนี้รายย่อย
ตัวแรกที่เพิ่งออกไป คือ แก้หนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญเป็นเชิงโครงสร้าง ธปท.ได้ออกมาตรการ “ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ “ เพื่อโอนหนี้ NPL(หนี้เสียจากการค้างชำระเกิน 3 เดือน) ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท จำนวน 1.6 ล้านบัญชี เข้าไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์สุุขุมวิท (SAM) ซึ่งแบงก์ชาติถือหุ้นทางอ้อมผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ(FIDF) 100% ใช้เงินจากแหล่งเงิน FIDF ที่เหลืออยู่จากโครงการ “คุณสู้เราช่วย” ซึ่งได้ประกาศโครงการไปแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างเนินการ และจะ cut off บัญชี (ลูกหนี้ที่เข้าข่าย)ทั้งหมดได้ในวันที่ 1 มกราคม 2569 ทั้งนี้จะเข้าไปปรับโครงสร้างด้วยการส่งผู้บริหารใหม่เข้าไป และให้รองผู้ว่าการ ธปท. เข้าไปเป็นประธานฯ และปรับกระบวนปรับวิธีทำงานของ SAM และใส่ซอฟแวร์เข้าไปใหม่ เพื่อจะดูแลลูกหนี้ 1.6 ล้านบัญชีหวังว่า 5 แสน-8 แสนบัญชีจะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ ช่วยให้คนเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ อันนี้เป็นมาตรการเฉพาะจุดที่เสริมกับการดำเนินนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้
"แต่อย่างที่บอก การออกมาตรการเพียงมาตรการเดียวคงไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้สำเร็จ มันเหมือนการต่อ jigsaw ที่ต้องต่อออกไปเรื่อยๆแก้ไปเรื่อยๆแล้วมันจะค่อยๆบรรเทา ซึ่งมาตรการคุณสู้เราช่วย ก็ดีมาตรการ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ก็ดี แต่จะต้องมีออกมาต้องแก้ไปเรื่อยๆจะช่วยบรรเทาให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ"
@เล็งออกมาตรการใหม่ “ตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อใหม่”
เรื่องที่สอง ปัญหาที่เห็นวันนี้ “สินเชื่อโตติดลบต่อเนื่องกันมา” โดยสินเชื่อรวมติดลบแล้ว 5 ไตรมาส สินเชื่อ SME ติดลบแล้ว 13 ไตรมาส โดยเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ติดลบ 4% ซึ่งเป็นปัญหาจริงๆและทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถกระเตื้องขึ้นมาได้เลย หาก SME ยังหดตัวอยู่อย่างนี้
สาเหตุที่สินเชื่อธุรกิจหดตัวมาจาก ความไม่แน่นอนและภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้ความต้องการสินเชื่อโดยเฉพาะของธุรกิจรายใหญ่ลดลง และ สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจาก credit cost ที่เพิ่มขึ้น จึงจะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่อง credit cost สิ่งที่พยายามทำ คือ จะสร้างกลไกค้ำประกันของสินเชื่อเอสเอ็มอี โดยอาจจะจัดตั้งเป็นกองทุนขึ้นมา
“ในการประคับประคองเศรษฐกิจปัจจุบันให้ไปต่อได้ จำเป็นต้องมีกลไกที่ช่วยแชร์ความเสี่ยงกับสถาบันการเงินให้สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่แก่ธุรกิจที่มีศักยภาพได้มากขึ้น เพื่อให้เป็น engine of growth ของเศรษฐกิจ โดย
“ธปท. ร่วมกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารพานิชย์ กำลังหารือเพื่อออกแบบกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SMEs และยกระดับศักยภาพธุรกิจ โดยจะตั้งกองทุนขึ้นมา ในหลักแหล่งเงินทุนมาจากการนำเงิน FIDF ที่เหลืออยู่หรือที่ได้จากการเก็บ FIDF ใหม่ในปี 2569 ประมาณ 20,000 ล้านบาท มาตั้งกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายด้านเครดิตจากการปล่อยสินเชื่อใหม่แก่กลุ่มเป้าหมาย ก็น่าช่วยลด credit cost ที่เป็นต้นทุนความเสี่ยงให้กับสินเชื่อได้ประมาณ 100,000 ล้านบาท”
กองทุนนี้เน้นการให้สินเชื่อใหม่แก่ SMEs ใน sector ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป ค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม Wellness และผู้ประกอบการที่ยกระดับศักยภาพธุรกิจทั้งของตนเอง และธุรกิจใน supply chain หรืออื่น ๆ ที่ต้องการส่งเสริมและเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยที่มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Transition)
มาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อได้ กำลังหารือกันอยู่อาจจะพิจารณาวงเงินสูงสุดต่อราย คาดว่าไม่เกิน 50-100 ล้านบาท เพื่อกระจายให้กับผู้ประกอบการได้อย่างเหมาะสม และหวังว่าสินเชื่อ 1 แสนล้านบาทจะออกไปได้ ถือเป็นไซซ์ที่ใหญ่พอสมควรสำหรับภาคเอสเอ็มอี ซึ่งจะเกิด Impact แน่นอน โดยหวังว่าจะดำเนินการจัดตั้งเสร็จภายในสิ้นปีนี้
สำหรับกระบวนการค้ำประกัน จะทำการขอรับเงินชดเชยที่ไม่ซับซ้อน สะดวกต่อการเบิกจ่าย และวงเงินชดเชยที่เพียงพอรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยแบงก์ที่จะเข้ามาปล่อยสินเชื่อสามารถเข้ากลไกนี้ได้ จะช่วยลดความเสี่ยงประมาณ10%-30%
ยกตัวอย่างเช่น สินเชื่อที่มีหลักประกัน อาจให้ค้ำประกันเพียง 10% กรณีไม่มีหลักประกันอาจค้ำให้ 30% จะช่วยสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงิน และถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น จะสามารถเคลมได้ 20%โดยเฉลี่ย ทำให้ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งจะไม่ซับซ้อนและไม่ต้องคำนวณมากเหมือน บสย.
ในปีหน้า หากแบงก์ไหนอนุมัติสินเชื่อก็จะได้สิทธิ์ของมาตรการนี้ นอกจากนี้จะมีมาตรการอื่นออกมาอีก เช่น ซอฟด์โลน ฯลฯ จะทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้างค่อยๆบรรเทา
@เดินหน้าวางแนวทาจัดการทุนเทาที่หน่วงเศรษฐกิจไทย
เรื่องที่สาม แนวทางการจัดการทุนเทา ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ธปท. ไม่มีข้อมูล flow บาท โดยถ้ามีธุรกรรมต้องสงสัยจะนำส่ง ปปง. เช่น ธุรกรรมเงินสดที่เกิน 2 ล้านบาท
การจัดการกับทุนเทา ธปท. จะดำเนินการเพิ่มขึ้นใน 2 มิติ คือ
มิติที่ 1 เพิ่มการมองเห็นข้อมูลเส้นทางเงินต้องสงสัย ด้วยการใช้กฎหมายหรือเกณฑ์ที่มีอยู่ (พ.ร.บ. สถาบันการเงิน และ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน) เข้าไปกำกับดูแลให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลธุรกรรมตามเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันไม่ให้ภาคการเงินถูกใช้เป็นช่องทำทุจริต เช่น กรณีมีเงินก้อนใหญ่ถูกโอนเข้าและออกเกือบจะทันที หรือบัญชีที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพื่อดำเนินการต่อหรือส่งข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของ ปปง. ในการดำเนินการต่อไป
มิติที่ 2 ยกระดับการกำกับดูแลและการรู้จักลูกค้าของผู้ใต้กำกับ เช่น
ธพ. และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะออกหลักเกณฑ์ยกระดับการทำความรู้จักลูกค้า (KYC/CDD) ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อจับจุดเสี่ยงและจัดการได้เร็ว รวมทั้งนำมาใช้ยกระดับการป้องกันต่อไป สำหรับผู้ให้บริการ e-Wallet และ Money Transfer Agent ยกระดับการกำกับดูแลเทียบเท่า ธพ. เช่น มี customer profiling ตรวจสอบระบบการตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย และ enforce เมื่อพบว่าผู้ให้บริการเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมาย
สำหรับ Money Changers จะเพิ่มคุณภาพและความสามารถของผู้ให้บริการในการติดตามตรวจสอบธุรกรรมผิดปกติ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการให้บริการลูกค้าเพิ่มเติม
ด้านการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกรรมทองคำนั้น ปัจจุบัน ธุรกรรมทองมีผลกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในบางช่วง ขณะที่การซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินบาทส่งผลให้ร้านทองต้องบริหารความเสี่ยง (Square position) ทั้งการทำธุรกรรมทองคำกับต่างประเทศ และการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) โดยปัจจุบัน ธปท. มีข้อมูลของร้านทองเฉพาะกรณีที่ร้านทองทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับ ธพ. ในประเทศ แต่ไม่มีข้อมูลหากร้านทองซื้อขายทองคำกับตลาดต่างประเทศ การทำธุรกรรม FX ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ รวมทั้งกรณีทำธุรกรรมด้วย crypto currency
“ธปท. จึงอยู่ระหว่างการปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้นเพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงิน และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุดต่อไป”
@ส่งสัญญาณปีหน้าอยากเห็นเงินบาทอ่อน
การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เกิดจาก 2 เรื่อง 1 เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน ดอลลาร์ฯอ่อนค่าราว 7%ซึ่งเงินสกุลอื่นๆรวมถึงเงินบาทแข็งค่าตามสภาพตลาด และ 2 การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย โดยไตรมาสแรกเกินดุลสูงถึง 11.2 พันล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ปัจจัยเฉพาะที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในปีนี้ มาจากการส่งออกที่เติบโตได้ดี(ก่อนสหรัฐจะเริ่มประกาศเก็บอัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐเดือนเมษายน) ทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงกว่าคาด การมีเงินต่างชาติไหลเข้าทั้งตลาดพันธบัตรและเงินลงทุนโดยตรง (FDI) การซื้อขายทองคำของคนไทย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งปีนี้ราคาทองคำปรับสูงต่อเนื่อง ลูกค้าร้านทองขายทองในสกุลเงินบาท ร้านทองจึงต้องไปขายทองคำกับคู่ค้าในต่างประเทศพร้อมกทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(FX) ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า ทั้งนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 5% จากต้นปี ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.10 บาท /ดอลลาร์ฯ แข็งค่ามาอยู่ที่ 32.4-32.5 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับหลายสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่(EM) แต่ก็มีบางประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่าจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เวียดนาม ที่ผู้ส่งออกบางส่วนไม่นำรายได้ที่ถือรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แลเป็นเงินด่อง รวมทั้งยังมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นด้วย
“หวังว่าปีหน้า(เงินบาท)จะอ่อน จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง การส่งออกน่าจะกลับมาสมดุลหลังจากที่ต้นปีนี้ฟร้อนโหลดไป แบงก์ชาติอยากเห็นเงินบาทอ่อนในสภาวะเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย”
สำหรับประเด็นการแทรกแซงดูแลค่าเงินบาทนั้น ต้องบอกว่าเหตุผลที่ไม่แทรกแซงเนื่องจากไทยอยู่ภายใต้ข้อตกลง “Currency manipulator” ของสหรัฐ ซึ่งมี 3 เกณฑ์ ได้แก่ การเกินดุลการค้าสหรัฐเกิน 15,000 ล้านดอลลาร์ เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 3% ของ GDPและการแทรกแซงค่าเงินด้านซื้อ FX สุทธิรวมเกิน 2%ของ GDP อย่างน้อย 8 เดือนใน 12 เดือน ไทยมักเข้าข่ายข้อแรกและข้อสอง จึงต้องระวังเป็นพิเศษในข้อที่สามจะไม่เข้าไปแทรกแซงตรึงค่าเงินที่จะเข้าข่ายผิดเกณฑ์สหรัฐ ซึ่งสหรัฐจะประเมินการดูแลค่าเงินของประเทศคู่ค้าคู่แข่งรวมถึงไทย เพื่อป้องกันคู่ค้าแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบการแข่งขันการค้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. จะดูแลลดความผันผวนของค่าเงินให้สอดคล้องกับภูมิภาคอยู่แล้ว
@ ย้ำใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย หากจำเป็น…ขึ้นกับข้อมูลศก.
ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นอย่างไร จากที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าและแบงก์ชาติได้ลดดอกเบี้ยนโยบาย 1% ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ซึ่งเป็นระดับที่สนับสนุนเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่พร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อดูแลสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังพอมีช่อง(room)ของการปรับลดดอกเบี้ยที่สามารถลดต่อได้ แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นกับข้อมูลชี้วัดเศรษฐกิจที่ออกมาแต่ละเดือนและมองแนวโน้วเศรษฐกิจไปในระยะข้างหน้าด้วย
“ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจที่ไม่ดี เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจไทยเจอ K Shape ปัญหาสังคมสูงวัย การจะลดดอกเบี้ยเพื่อให้มีผลต่อการเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ จะทำได้จำกัด ต้องเข้าใจเศรษฐกิจโตช้ากับโตต่ำกว่าศักยภาพด้วย ถ้าถามว่าลดดอกเบี้ยแล้วได้อะไร ลดดอกเบี้ยก็ช่วยทำให้ผ่อนคลายเรื่องสภาพคล่อง คนจ่ายหนี้ได้ เป็นNPL น้อยลง”
วันนี้ แบงก์ชาติในยุคผู้ว่าการ ธปท. “วิทัย” ปักธงยุทธศาสตร์ชัดเจนที่จะยื่นมือเข้ามาสางปมใหญ่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เพื่อสร้างศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับมา ปลดล็อกเศรษฐกิจโตช้า นับจากนี้ ต้องจับตาแรงกระเพื่อมของมาตรการต่างๆ พลิกฟื้นเศรษฐกิจเกิดผล อย่างเป็นรูปธรรมกันต่อไป