ดร. กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ล่าสุด กรมสรรพสามิตได้มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณขึ้นใหม่ โดยจัดเก็บภาษี ในอัตราร้อยละ 45 เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration) ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ในการจัดเก็บภาษีสินค้ารถยนต์ โดยคาดว่าจะช่วยขยายฐานการจัดเก็บรายได้ เพิ่มขึ้นปีละ 1-2 พันล้านบาท ทั้งนี้ ภาษีรถดังกล่าวไม่รวมรถจักรยานยนต์โบราณ และจะไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์โบราณที่อยู่ในประเทศอยู่แล้ว
“รถที่เข้าข่ายเป็นรถยนต์โบราณ จะต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งรถยนต์โบราณนี้จะถูกจดทะเบียนแบบพิเศษ และจะอนุญาตให้วิ่งได้เฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ เช่น ต้องขับไปงานแสดงเกี่ยวกับรถ ” ดร. กุลยา กล่าว
สำหรับผลดำเนินงานของกรมสรรพสามิต ดร. กุลยา กล่าวมั่นใจว่า ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว กรมสรรพสามิตยังสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ส.ค. 2568) กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้รวม 4.89 แสนล้านบาท เติบโต 1.6% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจทรงตัวเช่นนี้ กรมสรรพสามิตคาดว่า ทั้งปีจะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย 5.35 แสนล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อน 2.17% โดยเป็นเป้าที่ปรับสอดคล้องกับสถานการณ์จากเอกสารงบประมาณที่กำหนดกว่า 609,000 ล้านบาท
แรงหนุนสำคัญมาจากการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเบนซินและดีเซล เพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร โดยไม่กระทบราคาขายปลีก ช่วยดันรายได้เพิ่ม 2,800 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนการจัดเก็บภาษีสถานบริการ เติบโตต่อเนื่อง หลังรัฐบาลขยายเวลาลดภาษีจาก 10% เหลือ 5% เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยว ทำให้ 11 เดือนแรกของปีนี้เก็บได้ 199.73 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่ 138.77 ล้านบาท
”การจัดเก็บภาษีรถยนต์โดยรวมลดลง จากมาตรการสนับสนุนรถ EV และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ ตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 ปัจจุบันมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม 233,802คัน ซึ่ง ได้จ่ายเงินชดเชยไปแล้ว 7.55 หมื่นคัน รวมวงเงิน 1.12 หมื่นล้านบาท และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสมจำนวน 71,667 คัน แต่ล่าสุดได้มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเตรียมจัดเก็บภาษีรถยนต์โบราณนำเข้า ซึ่งคาดช่วยขยายฐานรายได้ส่วนนี้เข้ามา“
นอกจากนี้ มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว โดยลดจากอัตราร้อยละ 10 เหลืออัตราร้อยละ 5 จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ขยายต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนการลดอัตราภาษีในปี 2566 จัดเก็บได้จำนวน138.77 ล้านบาท และในปี 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่ลดอัตราภาษีสามารถจัดเก็บได้จำนวน 182.15ล้านบาท ในขณะที่ปี 2568 (1 ตุลาคม2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) จัดเก็บได้จำนวน199.73 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจยังส่งผลต่อการบริโภคสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาษี เช่น สุรา เบียร์ และเครื่องดื่ม ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณอุปสงค์ลดลงทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้บริโภคในประเทศ แต่มั่นใจว่ามาตรการปรับโครงสร้างภาษีและมาตรการใหม่ ๆ จะช่วยให้รายได้ของกรมสรรพสามิตเป็นไปตามเป้าหมาย และกรมฯอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บ ภาษีความเค็ม ภาษีแบตเตอรี่ และการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ซึ่งจะรอให้อธิบดีคนใหม่เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายต่อไป” นางสาวกุลยา กล่าว
ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษี เพื่อแสดงกลไกราคาคาร์บอนในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และออกประกาศกรมสรรพสามิต เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ด้านสังคม กรมสรรพสามิตได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุราชุมชน เพื่อต่อยอดนโยบาย การส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน
ลดอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับ ฐานรากทำให้มีผู้ประกอบการในระบบ 1,824 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้จำนวน 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และได้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มตามความหวาน ระยะที่ 4 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์ ขณะเดียวกัน ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2568 กรมสามารถจับกุมและดำเนินคดีกับการลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษีได้ทั้งหมด 33,766 คดี สูงกว่าปีก่อน 8.69% และสูงกว่าเป้าหมาย 37.33% พร้อมสามารถนำเงินส่งคลังเกือบ 500 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 27.74% และสูงกว่าเป้าหมาย 64.12%
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า “กรมสรรพสามิตจะยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ SMART Excise อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกหน่วยงานภายในกรมสรรพสามิตใช้ในขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน และต่อยอดความสำเร็จให้กรมสรรพสามิตได้อย่างเป็นรูปธรรม และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป”