ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31.75 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง" กรุงไทยคาดสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวที่ระดับ 31.35-32.10 บาท/ดอลลาร์ จับตาผลประชุม เฟด-BOE-BOJ การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.75 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง" จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 31.71 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 31.75 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.70-31.79 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนกันยายน (รับรู้ในวันที่ 18 กันยายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย) ส่วนราคาทองคำ (XAUUSD) ก็เผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงในลักษณะ Sideways Down สู่โซน 3,640-3,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อนึ่งในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าเพิ่มเติม ตามการอ่อนค่าลงบ้างของเงินยูโร (EUR) หลัง Fitch Rating ได้ปรับลดอันดับเครดิตเรทติ้งของฝรั่งเศสลงจากระดับ AA- สู่ระดับ A+ ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองและระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้น อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ยังพุ่งสูงขึ้นมากกว่าคาด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, BOE และ BOJ พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุม FOMC เดือนกันยายน โดยเรามองว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงหลังที่ชะลอตัวลงมากขึ้น (แต่ยังไม่เลวร้ายนัก) จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ เฟดลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00-4.25% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น คาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งอาจสะท้อนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งน้อยกว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาด ที่ล่าสุด มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เป็นต้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ ทั้งข้อมูลตลาดแรงงาน อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยในส่วนของการประชุม BOE นั้น เรามองว่า BOE อาจยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อในช่วงหลังได้ทยอยปรับสูงขึ้น ส่วนตลาดแรงงานก็ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน ทว่า BOE ยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงสิ้นปี และครึ่งแรกของปีหน้า จบรอบการลดดอกเบี้ยที่ระดับ 3.25%
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้าน (Home Prices) ในเดือนสิงหาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม พร้อมจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ท่ามกลางความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ส่วนธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ก็อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.00% และ 5.00% ตามลำดับ เช่นกัน
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจสะท้อนการเติบโตของยอดการส่งออกที่ชะลอลงจากเดือนก่อนๆ
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนกันยายน ได้ โดยเงินบาท (USDTHB) ยังพอมีโซนแนวรับแถว 31.50 บาทต่อดอลลาร์ และแนวต้านในช่วง 31.85 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk โดยเรามองว่า ยังมีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าลงบ้าง (เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามกลยุทธ์ Trend-Following) หรืออย่างน้อยการแข็งค่าขึ้นขอเงินบาทก็ควรชะลอลง หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยเท่าที่ตลาดคาดหวัง (6 ครั้ง จนถึงสิ้นปี 2026) ทว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจแข็งค่าเร็ว แรงในระยะสั้น หากเฟดเร่งลดดอกเบี้ย 50bps สวนทางกับคาดการณ์ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่นในระยะสั้น ก็อาจกดดันเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้บ้าง ซึ่งอาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์ (หรืออย่างน้อยก็ชะลอการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์)
อนึ่ง เรายังคงมองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินหยวนจีน (CNY) อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทั้งสองสินทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร โดยในส่วนของประเด็นราคาทองคำนั้น ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการอะไรเพื่อลดทอนผลกระทบจากราคาทองคำต่อเงินบาทได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์สูงขึ้น หากเฟดลดดอกเบี้ย 25bps ตามคาด แต่ Dot Plot ใหม่สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาด (6 ครั้ง จนถึงสิ้นปีหน้า) ทว่าต้องระวังความเสี่ยงที่เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย 50bps พร้อมจับตาสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.35-32.10 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-31.85 บาท/ดอลลาร์