เงินบาท พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง เปิดเช้านี้ที่ 31.77 บาท/ดอลลาร์ กรุงไทยคาดในช่วง 24 ชั่วโมง จะอยู่ที่ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์ รอลุ้นรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.77 บาท/ดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.63 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซน 31.80 บาท/ดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.62-31.79 บาท/ดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับกดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงจากจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แม้ว่า ยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 จะถูกปรับลดถึง 9.11 แสนตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ ในการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานใหม่โดยทาง BLS (สะท้อนว่า ยอดการจ้างงานโดยเฉลี่ยอาจลดลงจากที่เคยประกาศราว 7.6 หมื่นตำแหน่ง ต่อเดือน) แต่ผู้เล่นในตลาดต่างก็ไม่ได้ปรับเพิ่มคาดคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ในทางกลับกัน ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 66% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และเฟดก็อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Alphabet +2.4%, Nvidia +1.5% หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า แนวโน้มการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจน โดยเฉพาะหลังการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานรอบ 12 เดือน ถึงเดือนมีนาคม 2025 จะทำให้เฟดยังสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดประเมินไว้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.27%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.06% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ TotalEnergies +1.6% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เพื่อสังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่ม Hamas นอกจากนี้ ดีลการควบรวมของหลายบริษัทยุโรปก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป อาทิ การควบรวมระหว่างหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ Anglo American +9.1% กับ Teck Resources ของแคนาดา
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.08% สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ทำให้ในช่วงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังดำเนินต่อไปได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่ เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ก่อนที่จะรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.2-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดของผู้เล่นในตลาด กอปรกับแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงบ้าง ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,660-3,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ รวมถึงพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หลังอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศ ต่อเป้าหมายในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เพื่อสังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่ม Hamas ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาท (USDTHB) จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการรีบาวด์ขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พร้อมกับกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดแถวโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย และอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ของคืนวันพฤหัสบดี นี้ ซึ่งทั้งสองข้อมูลดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร ผ่านการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หากผู้เล่นในตลาดบางส่วนอย่างฝั่งนักลงทุนต่างชาติ พลิกกลับมาทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย หลังในช่วงระยะสั้น เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาพอสมควร เพิ่มผลตอบแทนให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ควรต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากในระยะหลัง เงินบาทกับเงินหยวนจีน ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกันพอสมควร
ส่วนในช่วง 19.30 น. ที่ตลาดจะทยอยรับรู้ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดการเงิน เนื่องจากหากดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและสูงกว่าคาด อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติมได้ หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพิ่มเติม กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท ทำให้ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (แนวต้านถัดไป 32.00 บาทต่อดอลลาร์)
ในทางกลับกัน หากดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงและออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3 ครั้ง ได้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์