ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.75 บาท/ดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง" กรุงไทยมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์ ลุ้นเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.75 บาท/ดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง" จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.79 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.72-31.84 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลงเล็กน้อยของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ปรับตัวลดลง -0.1%m/m (+2.6%y/y) ต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ทั้งในปีนี้ (โอกาสราว 80%) และปีหน้า อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ลดลงเหลือราว 70% ล่าสุด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม ที่จะทยอยรับรู้ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อีกทั้งยังมีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ หลัง Oracle +36% จากรายงานคาดการณ์รายได้จากธุรกิจ Cloud ที่สดใส ส่งผลให้ บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน อาทิ Broadcom +9.8%, Nvidia +3.9% นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวขึ้น Exxon Mobil +1.7% ตามราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของ Apple -3.2% และ Amazon -3.3% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.30%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% ตามแรงกดดันจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นเทคฯ อาทิ SAP -2.9% อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น หลังทางการโปแลนด์ระบุว่ามีการละเมิดน่านฟ้าจากโดรนรัสเซีย ได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Rheinmetall +3.3%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด ยังคงทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.05% ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ทำให้ในช่วงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังดำเนินต่อไปได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะรายงานในวันพฤหัสบดีนี้ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่ เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) จะพอได้แรงหนุนบ้างในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทว่า แรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด รวมถึงบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง และยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม (ทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
ส่วนในฝั่งยุโรป เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว โดย ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ทว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB ก็พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ สะท้อนว่า ECB ยังคงมีทางเลือกในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ถ้าจำเป็น
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 31.70-31.85 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ของคืนวันพฤหัสบดีนี้ รวมถึงผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะรับรู้ในช่วง 19.15 น.
โดยในส่วนของผลการประชุม ECB นั้น เรามองว่า อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก ECB อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทว่า อาจต้องจับตา ถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference (ราว 19.45 น.) ว่าจะส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมของ ECB ได้หรือไม่ เพราะหาก ECB ยังเปิดโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยต่อได้ หรือแสดงความกงัวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง
ส่วนในช่วง รับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ นั้น เรามองว่า ตลาดการเงินเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดมีโอกาสที่จะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุมดังกล่าว ทำให้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (แนวต้านถัดไป 32.00 บาทต่อดอลลาร์)
ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด พร้อมกับรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่แย่ลงชัดเจน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3 ครั้ง ได้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์