ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.63 บาท/ดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้น" กรุงไทยคาดในช่วง 24 ชั่วโมง จะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์ รอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.63 บาท/ดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้น" จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.77 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 31.60-31.87 บาท/ดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปี 2026 มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ได้อานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ เริ่มเผชิญความไม่แน่นอน จากประเด็นความกังวลต่อผลประกอบการของหุ้นธีม AI รายใหญ่ อย่าง Oracle -10.8% ซึ่งส่งผลกดดันให้ บรรดาหุ้นธีม AI ต่างปรับตัวลดลง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งอังกฤษ อย่าง ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือน (Monthly GDP) ในเดือนตุลาคม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็มีส่วนส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ได้ประกาศยุบสภา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ในส่วนของเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ทว่า อาจต้องรอติดตามบรรยากาศในตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นธีม AI อย่าง Oracle มากขึ้น ทำให้ หากตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ และช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แต่ภาวะดังกล่าวจะหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้มากน้อยเพียงใด อาจต้องติดตามว่า ผู้เล่นในตลาดจะเลือกถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือเลือกจะที่หลบความผันผวนในเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ได้ประกาศยุบสภา แม้จะเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน อย่าง สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากบรรดาผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็อาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยอาจจะเน้นที่ฝั่งหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากในส่วนบอนด์นั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บอนด์ระยะยาวไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังมั่นใจว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้
เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์