นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายผ่อนคลายในระยะข้างหน้า ว่า ประเทศไทยยังต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% ถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และยังมี Policy Space (ช่องว่างการใช้ดอกเบี้ยนโยบาย) เหลืออยู่แต่ก็มีจำกัด ถ้าจำเป็นต้องใช้ทำก็สามารถจะลดดอกเบี้ยฯลงไปได้อีก เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อ
จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง. ) เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงดอกเบี้ย เนื่องจากมีการปรับลดดอกเบี้ยไปบ้างแล้วกว่า 1% นับจากปี 2567 และจากการเพิ่งปรับลดดอกเบี้ยฯเมื่อครั้งที่แล้ว กรรมการบางส่วนจึงเห็นว่า ควรรอดูผลก่อน ซึ่งจะใช้เวลาส่งผ่านราว 3-6 เดือน และต้องดูข้อมูลทางเศรษฐกิจรายเดือน สถานการณ์ในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นการอดูจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อไป
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาท ธปท.ยังให้ความสำคัญในการดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YtD) ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 4.5% โดยลดลงมาจากช่วงก่อนหน้า ทำให้ปัจจุบัน ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าลงมาอยู่ระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งธปท. จะดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้เหมาะสมรวมถึงดูแลเมื่อมีเงินที่ไม่พึงประสงค์ด้วย แต่เนื่องจากการจะดูข้อมูลของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพังนั้น คงไม่เพียงพอที่จะบ่งชี้การแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้นได้ เพราะแต่ละปัจจัยมีผลต่อค่าเงินบาทระดับมากน้อยต่างกัน โดยประเด็นเรื่องทองคำ ที่จะบอกว่า เป็น Amplifier นั้น จะมีการหารือกับกระทรวงการคลังและร้านทองต่อไป
นายวิทัย กล่าวถึงเตรียมการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงว่า โครงการ”คุณสู้เราช่วย”ยังคงทำต่อเนื่อง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และในระยต่อไปจะเป็นการต่อยอดการแก้หนี้ โดยจะให้ AMC เข้ามาช่วยดูแลหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวนรวม 2 ล้านกว่าราย โดยขณะนี้กำลังดำเนินการหารือรูปแบบดำเนินการรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทยเพื่อวางกรอบแนวทางปฏิบัติ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ มีลูกหนี้ดังกล่าวราว 7 แสนบัญชี ,นอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ 8 อสนบัญชี ,ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 8 แสนบัญชี และ นอนแบงก์ แต่ช่วงแรกจะเริ่มดำเนินการกับลูกหนี้ของ 3 กลุ่มสถาบันการเงินแรกก่อน สำหรับAMC จะให้ SAM (บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ) ซึ่งกองทุนฟื้นฟู (FIdG)ถือหุ้นอยู่ จะถูกปรับบทบาทให้เป็น Social AMC มีภารกิจแก้หนี้ โดย SAM รับซื้อหนี้เสียออกมาเพื่อให้ปรับโครงสร้างหนี้ให้ปลดหนี้ได้เร็ว โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ และจะเสนอรัฐบาล โดยน่าจะเริ่มดำเนินการในต้นปี 2569
ทั้งนี้ นายวิทัย ได้แถลงข่าวเป็นครั้งแรกหลังรับตำแหน่งฯ กล่าวถึงแนวทางการทำงานของ ธปท. และทิศทางนโยบายสำคัญในระยะต่อไป ว่า
แนวทางการทำงาน ได้แก่
1 สานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลาง คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
-เสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
-เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคงสามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงินที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตในอนาคต
-เสถียรภาพระบบการชำระเงิน ดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
2 ธปท. จะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย โดยมีหลายเรื่องที่ต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย ตลอดจนจะเน้นประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง (policy coordination) เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งเอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศ
ส่วนทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. (policy priorities) ในระยะต่อไป ประกอบด้วย
1) การสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลกใหม่ทั้งด้านดิจิทัลและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม(financial landscape) เช่น โครงการ Your Data การพัฒนาระบบ digital payment ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงเข้าถึงบริการทางการเงินครอบคลุมขึ้น รวมถึงการจัดตั้ง Virtual Bank
2) การทำงานของ ธปท. จะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมองหรือข้อเรียกร้องจากสังคมให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบาย และสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ตลอดจนจะมีแนวนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง การเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ผ่านกลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น รวมทั้งกลไกกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing: RBP) ตลอดจนการทบทวนค่าธรรมเนียมของบริการทางการเงินให้เหมาะสมและเป็นธรรมขึ้น (fair pricing)
ธปท. มุ่งหวังว่าการดำเนินงานตามพันธกิจควบคู่กับการออกนโยบายและมาตรการของ ธปท. จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างสมดุลเข้าสู่ศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด