นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการดำเนินงาน ติดตามมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ว่า จากการออกมาตรการแก้หนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับลดลงเล็กน้อย  ซึ่งที่ผ่านมา แม้มีโครงการคุณสู้เราช่วย (เฟสแรก) แต่ยังยังมีไม่สามารถแก้หนี้เสียในบางกลุ่มได้  ซึ่งปัจจุบัน ทั้งระบบมีหนี้เสีย (NPL) ประมาณ  1.22 ล้านล้านบาท  ส่วนจำนวนลูกหนี้ที่เป็น NPL ทั้งระบบกว่า 5 ล้านบัญชี  โดยกลุ่มลูกหนี้ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท มีสัดส่วน 65-66% ของหนี้ทั้งระบบ คิดเป็นมูลค่าหนี้ 1.23 แสนล้านบาท กลุ่มนี้มีจำนวนราย  3 ล้านบัญชี  ดังนั้น คลังจึงดำเนินการปรับเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการคุณสู้เราช่วย  เฟส 2  เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้ที่ยังเข้าไม่ถึง โดยคาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์หน้า 

สำหรับ ปัจจุบัน โครงการคุณสู้เราช่วย(เฟสแรก)  ช่วยลดหนี้ลงอย่างไม่มีสาระสำคัญ เพราะผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯบางส่วนยังติดปัญหา 2 เรื่อง  คือ 1. เป็นลูกหนี้ที่ตามตัวไม่ได้ และ 2. เงื่อนไขของ กาาเข้าร่วมโครงการนี้ จะไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มไม่ได้หลายปี ดังนั้น  คลังกำลังพิจารณาดูดูแลลูกหนี้ที่ดีหลังผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยจบแล้ว  จะสามารถหลุดจากประวัติของเครดิตบูโรได้เร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ต่อไป  

สำหรับปัจจุบัน โครงการคุณสู้เราช่วย ที่ดำเนินการอยู่ตอนนี้ ยังอยู่ในช่วงขยายระยะเวลาให้กว้างขึ้น เช่น มาตรการจ่าย ปิด จบ ช่วยลดภาระหนี้เสีย แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพียง 10% ของยอดหนี้คงค้างเพื่อปิดหนี้ได้ทันที ซึ่งพิจารณาจะขยายวงเงินเป็น 10,000 บาท เมื่อปิดหนี้หมดสามารถกู้สินเชื่อใหม่ได้

รมว. คลังอีกว่า ยังมีลูกหนี้เสียอีกกลุ่มที่ต้องแก้ไข คือ ลูกหนี้ที่อยู่กับนอนแบงก์ทั้งประเภทบัตรเครดิต และ สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งคลังต้องเจรจากับผู้ประกอบการนอนแบงก์ เพื่อร่วมมือกันวางแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหามาเข้าโครงการฯนี้ด้วย ซึ่งคลังได้มีการประสานกับ ธปท. อยู่แล้ว หากสามารถแก้ปัญหากลุ่มลูกหนี้นอนแบงก์ดังกล่าว  จะทำให้สามารถลดปัญหาหนี้ครัวเรือนได้มากขึ้น 

รมว. คลัง กล่าวเพิ่มอีกว่า นอกจากนี้ คลังเตรียมจะพิจารณาเรื่อง การลดภาษีสำหรับ‘รถกระบะเก่ามาแลกซื้อรถกระบะใหม่’   ซึ่งจะเป็นรถกระบะเก่าที่มีอายุ 20-25 ปี มาแลกซื้อรถใหม่  และจะใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บษย.) เข้ามาค้ำประกันการซื้อรถกระบะใหม่ด้วย  โดยคาดหวังว่า น่าจะช่วยให้หนี้ครึ่งหนึ่งที่อยู่ในก้อน 1.23 แสนล้านบาท จะดึงออกมาไว้ข้างนอก และยังทำให้ยอดขายรถเพิ่มได้ ขณะนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะเจรจาหารือกันอย่างไรต่อไป