Economies

เงินบาท`อ่อนค่าลง`เปิดเช้านี้ 31.12 บาท/ดอลลาร์ 
29 ธ.ค. 2568

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31.12 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าลง" กรุงไทยคาดสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 30.90-31.35 บาท/ดอลลาร์ จับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.12 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าลง" จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  31.04 บาท/ดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 31.10 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย (แกว่งตัวในกรอบ 31.01-31.15 บาท/ดอลลาร์) หลัง ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากโซน 4,540 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 4,490 ดอลลาร์/ออนซ์ ท่ามกลางแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดช่วงปลายปี ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้างในจังหวะดังกล่าวและโดยรวมเงินดอลลาร์ก็เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways สะท้อนถึงผลกระทบของราคาทองคำต่อเงินบาทที่ยังคงมีอยู่พอสมควร 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นเกือบทะลุแนวรับ 31 บาท/ดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ของราคาทองคำ

สำหรับสัปดาห์นี้รวมถึงในช่วงระยะสั้น เราประเมินว่า ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน พร้อมระวังความผันผวนของตลาดการเงิน ในช่วงปลายปี ที่ปริมาณการทำธุรกรรมเบาบางลงชัดเจน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP (ADP Weekly Employment) และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตาม รายงานการประชุม FOMC เดือนธันวาคมของเฟด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 34% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปี 2026 หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ซึ่งมากกว่าที่เฟดระบุไว้เพียง 1 ครั้ง ใน Dot Plot ล่าสุด 

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น ท่ามกลางความพยายามของทางสหรัฐฯ ที่ต้องการยุติสงครามซึ่งยืดเยื้อเกือบ 4 ปี ทว่าการเจรจาดังกล่าวก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง หลังรัสเซียได้เปิดฉากถล่มเมืองหลวงของยูเครนในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนธันวาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนพฤศจิกายน ที่จะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทย ท่ามกลางปัจจัยกดดันทั้งผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตของไทย อย่าง การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่กดดันภาคการผลิตของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น  

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ ทว่า ในช่วงระยะสั้นนี้ (จนถึงสิ้นปี 2025) การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 นี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบาง ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหว Two-way Risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ได้พอสมควร หามีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งเข้ามากระทบตลาด โดยเฉพาะในช่วงวันทำการสุดท้ายของตลาดการเงินไทย 

ในเชิงเทคนิคัลนั้น เรามองว่า หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

นอกจากนี้ เราได้ประเมิน มูลค่าที่เหมาะสมของเงินบาท (Fair Value) จากโมเดล Behavioral Equilibrium Exchange Rate (BEER) ที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาท (USDTHB) และดัชนีเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate REER) พบว่าอยู่ในช่วง 33-34 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทที่ระดับต่ำกว่า 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าเป็นระดับที่ Extremely Overvalued หรือเงินบาทแข็งค่าเกินไปมากอย่างมีนัยสำคัญ (Z-Score <= -2) ซึ่งเงินบาทจะมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ในระยะ 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า

ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ แต่อาจอ่อนค่าลงบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 30.90-31.35 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.05-31.20 บาท/ดอลลาร์

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com