เปิดผลสำรวจความคิดเห็นโบรกเกอร์และผู้จัดการกองทุน มองเป้าดัชนีสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,760 จุด แนะให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน กลุ่มค้าปลีก ธนาคาร อสังหาฯ และสื่อสาร ชู 5 หุ้นเด่น ADVANC - CPALL -EA- KBANK -SCB
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองการลงทุน และคาดการณ์ทิศทางดัชนีหุ้นไทย (SET Index) โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 25 บริษัท เป็นโบรกเกอร์ 20 แห่ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 แห่ง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน 1 แห่ง และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 แห่ง ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน เกี่ยวกับทิศทางดัชนีหุ้นไทย คาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,760 จุด โดยมองจุดสูงสุดของดัชนีเฉลี่ยที่ระดับ 1,782 จุด และมองจุดต่ำสุดที่ 1,546 จุด
ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทย ได้แก่ ผลประกอบการของบจ. ผู้ตอบแบบสำรวจ 92% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 84% คาดว่า เศรษฐกิจภายในประเทศและแนวโน้มสถานการณ์วัคซีนและโควิดในไทย มีผู้ตอบ 80% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2565 ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) มีผู้ตอบ 84% รองลงมาคือ การลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 72% และแนวโน้มสถานการณ์โควิด 19 โลก มีผู้ตอบ 68% ตามลำดับ
โดยสมมติฐาน GDP ปี 65 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.71% เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน (ต.ค.64) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.67% และสมมติฐานราคาน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามที่ 69.90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.59 บาท
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ คาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 1 มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบๆ หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปจากไตรมาส 4 ปี 2564 มากนัก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,665 จุด
สำหรับความคิดเห็นการลงทุน นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน แนะนำ ให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้นร้อยละ 10.22 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ 16.96
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย ร้อยละ 29.87 รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 28.96 ตามมาด้วย การแบ่งเงินลงทุนไว้ในกองทุนอสังหา/REIT ร้อยละ 8.09 และทองคำ ร้อยละ 5.35 และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Digital Currency น้ำมัน ร้อยละ 0.57
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในปี 2565 นั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคารอสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร
โดยหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน ตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้
1. ADVANC แนวโน้มเติบโตตามกระแสความต้องการใช้เทคโนโลยีและได้รับประโยชน์จากรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนและการแข่งขันมีโอกาสลดลงหลังการควบรวมกิจการ DTAC-TRUE
2. CPALL โดยมองว่าปัจจัยสนับสนุนจาก 7-Eleven มากกว่า 80-90% สามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมงได้ตามปกติ นอกจากนี้ Gross Profit Margin น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีมาร์จินสูง
3. EA ปัจจัยสนับสนุนจาก Green Energy และ EV theme
4. KBANK โดยมองว่าปัจจัยสนับสนุนเพิ่มจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
5. SCB โดยมองว่าเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรมและสายการบิน
นอกจากนั้น ยังให้หลีกเลี่ยงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตัวหนึ่งที่ในปี 63-64 วิ่งขึ้นมากว่า 1,000% เนื่องจากราคายังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก