Market

ตลท.จับตาผลเลือกนายกฯคนใหม่พรุ่งนี้ หนุนตลาดหุ้นไทยไปต่อ  ย้ำจุดแข็งหุ้นไทย ‘ปันผลเด่น’
4 ก.ย. 2568

ผู้จัดการ ตลท. ชี้โหวตเลือกนายกฯคนใหม่ได้พรุ่งนี้  เรียกความเชื่อมั่นกลับมา  ตลาดไปต่อจากความชัดเจนทางการเมือง  หวังทีมเศรษฐกิจใหม่เมีนโยบายต่างๆออกมา  แต่หากผลตรงข้าม นักลงทุนส่วนใหญ่ชินกับการเมืองไทยที่ไม่นิ่งอยู่แล้ว เชื่อภาคธุรกิจเดินหน้าได้ด้วยตัวเอง ยันตลาดหุ้นไทยมีจุดแข็ง ‘ปันผลเด่น’ แม้มีจุดอ่อน บจ. ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเก่ากดทับความน่าสนใจตลาดไทย 

 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การเลือกนายกรัฐมตรีในวันพรุ่งนี้ (5 กันยายน 2568) คาดหวังว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่และนโยบายชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นเรื่องที่ดีกับตลาดหุ้น  เพราะตลาดทุนต้องการความชัดเจน   แต่หากยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็เชื่อว่า ทุกภาคส่วนยังเดินต่อไปได้ เศรษฐกิจและภาคธุรกิจที่ยังดำเนินงานตามแผนที่วางไว้อยู่แล้ว  จึงเชื่อว่าทุกภาคส่วนยังคงเดินต่อได้ ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ  จากที่ได้พบปะพูดคุยกับนักลงทุนดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย อยู่แล้ว  ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่   การเดินต่อของตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเคนๆเดียว หากมีทีมเศรษฐกิจใหม่เข้ามาทำงาน  ก็คาดหวังว่าจะทำให้โครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปเศรษฐกิจไทยเติบโตได้และทำให้ตลาดทุนเติบโตได้มากยิ่งขึ้น

 

“การร่วมทำงานกับรัฐบาลใหม่ ไม่ถือเป็นอุปสรรค  ตัวตลาดต้องผลักดันตัวเองให้มากขึ้นไป  อย่างทำโครงการ Jump+ ที่ตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมแล้ว 35 รายที่พร้อมยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองกัน  ก็หวังจะเห็นมีเพิ่มขึ้น ส่วนภาครัฐก็อาจจะเข้ามาช่วยเรื่องภาษีได้“

 

สำหรับความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน  ล่าสุดตลาดหุ้นไทยปีนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม  ปรับตัวลดลง 11% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ ทั้งที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ แต่หากมองในด้านปัจจัยพื้นฐานแม้ช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตแต่อยู่ระดับต่ำ 2% และบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังเป็นอุตสาหกรรมเก่ามากกว่า  ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเศรษฐกิจเติบโตมากกว่า และมีการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมใหม่กว่าไทย แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยกำลังปรับตัวเพื่อให้เข้ากับอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น New S-Curve ซึ่งต้องใช้เวลา แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยมีจุดแข็งเรื่องอัตราผลตอบแทนของเงินปันผลที่โดดเด่นเมทาอเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

ทั้งนี้ อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 3.99% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.08%

 

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  และเน้นการสื่อสารหรือนำเสนอข้อมูลใหม่ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นน่าสนใจมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาว่าแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งมีโครงการ Bond Connect ที่ตลาดยังอยากผลักดันต่ออีกด้วย

 

ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

 

ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของงาน Thailand Focus 2025 และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย

 

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนสิงหาคม 2568  ณ สิ้นเดือนสิงหาคม SET Index ปิดที่ 1,236.61 จุด ปรับลดลง 0.5% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับลงเล็กน้อยหลังปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้า โดยมี   Forward P/E  ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่าและ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ15.4 เท่า  ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.47% ของมูลค่าการซื้อขายรวม แต่มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาขายสุทธิหลังจากซื้อสุทธิในเดือนก่อนหน้า  

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.7% จากสิ้นปีที่ผ่านมา  มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 43,011 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า  SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร

 

ในส่วนของบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล (HANN)

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com