Market

`กรุงไทย` ครึ่งปีแรกกำไรอู้ฟู่ 17,139 ล้านบาท  โตโลด 48% จากสินเชื่อขยายตัว คุมค่าใช้จ่ายได้ดี
21 ก.ค. 2565

“ธนาคารกรุงไทย” โชว์ครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 17,139 ล้านบาท พุ่งกระฉูด 48%  ส่วนไตรมาส 2/65 กำไรสุทธิ 8,358 ล้านบาท โตพุ่ง 39% รายได้รวมขยายตัวจากการเติบโตของสินเชื่อ การควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูง 174.3  รับมือความท้าทายภาวะเศรษฐกิจรอบด้าน 

 

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB  เปิดเผยว่า  จากความมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม ความถี่เข้าใช้งานมากขึ้น หนุนปริมาณธุรกรรมเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงการวางยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์การยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของธนาคารดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง   โดยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 17,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย รวมถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับร้อยละ 2.50  ประกอบกับบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี  รวมถึงค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงร้อยละ 0.7  ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 41.86 ลดลงจากร้อยละ 43.33 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน  ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 31.0 แต่ยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 174.3 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

 

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 8,358  ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 ทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเติบโตของสินเชื่อ และการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในภาพรวม ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.48 ซึ่งโดยรวมอยู่ในระดับคงที่จากไตรมาส 2 ปี 2564  

 

ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,669 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการตั้งสำรองไว้ในระดับสูง โดยธนาคารยังยึดหลักการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบกับคุณภาพของสินทรัพย์  ประกอบกับติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) ร้อยละ 3.32 ลดลงเมื่อเทียบสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับร้อยละ 3.50 และยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 174.3 เทียบกับร้อยละ 168.8 เมื่อสิ้นปี 2564

 

เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลงร้อยละ 4.8 เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด  ถึงแม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวได้ดีจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อ ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงระดับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ยึดหลักระมัดระวัง โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา

 

ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 328,287 ล้านบาท (ร้อยละ 15.98 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) และเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 413,559  ล้านบาท (ร้อยละ 20.13 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยในเดือนเมษายน 2565 ธนาคารได้ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 18,080 ล้านบาท ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งมากขึ้น รองรับการเติบโตในอนาคต 

 

ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ภาคธุรกิจจะกลับมาดำเนินกิจการได้มากขึ้น หลังจากทยอยยกเลิกมาตรการเข้มงวดที่ใช้ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป เป็นการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง ในรูปแบบ “ The New K-shaped Economy”   ซึ่งเป็นภาพของเศรษฐกิจไทยเฟสใหม่หลังโควิด-19 คลี่คลาย  และยังมีความท้าทายจากแรงกดดันปัจจัยภายนอก  โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อและยังมีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยืนอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น และยังคงเน้นมาตรการช่วยเหลือเฉพาะจุด เพื่อดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง 

 

"ธนาคารจึงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด รักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูง รักษาระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอน พร้อมดูแลช่วยเหลือลูกค้า และ เตรียมพร้อมในการขยายธุรกิจรองรับการแข่งขันในอนาคต " นายผยงกล่าว 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com