Market

เปิด 10 หุ้นแกร่ง กำไรเด้งชนะตลาด เช็กลิสต์ราคาเป้าหมาย ยืนสู้ ‘Omicron’
4 ธ.ค. 2564

รอบนี้  Clubhoon  รวบรวมข้อมูลราคาของ  “หุ้นแกร่ง” ที่มาแรง “Outperform”  หรือให้ผลตอบแทนได้สูงสุดในกลุ่ม SET 50 ในช่วง 1 เดือนของการเปิดประเทศ และยืนสู้กระแส “โควิด Omiron” ป่วนโลก  มาให้คุณ ๆ ลองเช็คลิสต์พอร์ตถือหุ้นพวกนี้อยู่มั้ย  จะถือต่อไปหรือขายทำกำไรดีกว่า ตามมาดูโบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่เท่าไหร่กัน

 

รีวิวภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา  ผลตอบแทนติดลบ 2.2% หรือหายไป35.44 จุด จากสิ้นเดือน SET Index 1,604.13 จุด ลดลงมาปิด 1,568.69 จุด ณ สิ้นพฤศจิกายน 

 

หุ้นที่ “Outperform” 10 อันดับแรกในกลุ่ม SET 50 รอบ 1 เดือนมีอะไรบ้าง

 

อันดับหนึ่ง บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA)   ราคาหุ้นขึ้นกระฉูด 25% หรือกำไรส่วนต่างราคา 14.75 บาท/หุ้น โดยราคาปิด 80.25 บาท (30 พ.ย.) บล. CGS  วิเคราะห์ว่า หุ้นมี upside  (ขาขึ้น) ที่จำกัดแล้ว โดยราคาเป้าหมายอยู่ที่ 80 บาท ในปี 65 อิงวิธีคำนวณ PE ปี 65 ที่ 38 เท่า  และปรับคำแนะนำ “ซื้อ” เป็น “ถือ” หลังจากที่ราคาวิ่งไปล่วงหน้า ด้านปัจจัยพื้นฐานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เริ่มธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงมองว่ายอดขาย EV ที่โตขึ้นกับการเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (Gigafactory) ภายในเดือนธันวาคมนี้  จะหนุนทิศทางกำไรมากขึ้นและยังมียอดขายรถ E-bus ช่วยหนุนการเติบโตของกำไรปกติใ โดยคาดภายในปี 2564 – 2568 การเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีที่ 15%

 

รองลงมาเป็น 3 ค่ายมือถือยกก๊วนดีดเด้ง เก็งกำไรรับข่าวควบรวมกิจการ DธAC-TRUE ที่จะเหลือผู้ให้บริการแค่  2 ค่ายใหญ่ ผูกขาดตลาด  โดยอันดับ 2 บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)  ราคาพุ่ง 15% มาอยู่ที่ 44 บาท (สิ้นพ.ย.) บล. CGS วิเคราะห์ว่า การควบรวมของทั้ง 2 ค่ายมือถือ จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น จากจำนวนฐานผู้ใช้บริการที่มากกว่าค่าย ADVANC และมีรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) โดยรวมที่เทียบเท่ากัน จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ขาย” และปรับราคาเป้าหมายใหม่ของ DTAC เป็น 47.60 บาท อิงจากราคาเสนอซื้ออย่างเป็นทางการของ DTAC ราคาเป้าหมายอิง PEปี 65 ที่ 28 เท่า และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 4.4% (อิงอัตราการจ่ายเงินปันผลล่าสุด) แต่ถ้าดีลนี้ไม่เกิดขึ้นจริง คำแนะนำและราคาเป้าหมายนี้จะมี downsiderisk (เสี่ยงปรับตัวลง) ด้านบล.กสิกรไทยยังแนะนำ “ซื้อ”  ล่าสุดปรับราคาเป้าหมายที่ 51.18 บาท

 

อันดับ 3 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE)   วิ่งปรู้ดกว่า 11% ราคาปิด 4.52 บาท   บล.กสิกรไทย ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ TRUE ประมาณ 23%จาก 4.23 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 5.20 บาท  รวมถึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”  และล่าสุด ปรับเพิ่มอีกเป็น 5.64 บาท  ยิ่งทำให้มี upside หุ้นสูงขึ้น

 

อันดับ 4  บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เด้งขึ้นราว 9% บล. เอแซีย เวลท์ แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 214 บาท ด้วยมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือปีนี้และต่อเนื่องปีหน้า ที่สำคัญ จะเริ่มเห็นการปล่อยกู้ผ่าน Digital Platform (ที่ได้ร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB) ซึ่งจะเป็น Upsides ในอนาคต  ฝั่งบล.กสิกรไทย ปรับราคาเป้าหมายเป็น 229.24 บาท และยังยกให้เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ด้วย

 

อันดับ 5 บมจ. คอมเซเว่น (COM7) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีหลักๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ โหนกระแสเปิดขายไอโฟน 13 และการกลับมาเปิดประเทศ ทำให้แรงซื้อสินค้าที่อั้นไว้กลับมาคึกคัก   ส่งผลบวกต่อผลประกอบการยาวถึงปีหน้า  ขณะที่ราคาหุ้นวิ่งไป   8 % มาอยู่ที่ 77.50 บาทแล้วก็ยังมี upside  บล.เคจีไอ ประเมินราคาเป้าหมายปี’65 ไว้ที่ 82.00 บาท อิงจาก PE เท่าเดิมที่ 36 เท่า และยังแนะนำ “ซื้อ”

 

อันดับ 6  บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA  หุ้นมีเจ้ามือ หักปากกานักวิเคราะห์  โดยราคาหุ้นปิด 442 บาท วิ่งขึ้นกว่า 7%  ด้าน บล. CGS  แนะนำ “ขาย” และปรับลดราคาเป้าหมายมาที่  227 บาท คำนวณที่ PE  42 เท่าของปี 65   เนื่องจากธุรกิจมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) แตะจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ 19.2% จากต้นทุนชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ปรับสูงขึ้น จึงคาดไตรมาส 4 ทรงตัวจากไตรมาส 3  ที่แม้รายได้เติบโตดี แต่กำไรสุทธิลดลง 52%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเป้าหมาย 2 เท่า ค่า PE ก็สะท้อน  82 เท่าของปี 65  ถือว่าค่อนข้างแพง  หุ้นตัวนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณผู้ลงทุนแล้ว

 

อันดับ 7 บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ผู้ผลิตและจำหน่ายเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอีกตัวที่ราคาหุ้นขึ้นมากว่า 5% มาอยู่ที่ 92 บาท (สิ้นพ.ย.) ซึ่งใกล้จะเต็มมูลค่าของราคาเป้าหมายปรับใหม่ที่ 93 บาทในปี ’65 โดยบล.เคจีไอ มองแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งไปถึงปีหน้า เนื่องจากมีออร์เดอร์ผลิตยาวถึงกลางปีหน้า และจะมีกำลังการผลิตเพิ่มของโรงงานใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นอกจากนี้ ปัจจุบันสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนหนุนผู้ส่งออก ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 8 บมจ. ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ราคาหุ้นขึ้นมากว่า 2% ชนะตลาด โดยปิดอยู่ที่  1.19 บาท  หุ้นยังมี upside  โดยบล.กสิกรไทย  ประเมินราคาพื้นฐาน 1.28 บาท  โดยมองเชิงบวกมากขึ้น ที่เริ่มเห็น synergy ของแบงก์มากขึ้นหลังควบรวมระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาตที่ผ่านมา ในแง่ผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ดีขึ้นหลังเปิดเมือง ถือเป็นหุ้น laggard ในกลุ่มธนาคาร

 

ส่วน 2 อันดับสุดท้าย เป็นหุ้นที่ผลตอบแทนติดลบน้อยที่สุดในกลุ่ม SET 50 โดยอันดับ 9 บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)  -1.03% ราคาปิดอยู่ที่ 144 บาท บล. เมย์แบงก์ ประเมินราคาเป้าหมาย 160 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่ราคาซื้อขาย PE ปี 65 ที่ 55.6 เท่า  สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ขณะที่การเติบโตของรายได้และกำไรในปีหน้าอาจถูกจำกัด  หลังรับข่าวดีเปิดประเทศที่ซาลงต้นเดือนพ.ย. ก็เกิดการแพร่ระบาดของโควิดในยุโรปและยังมีพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” อีก ซึ่งน่าจะกระทบต่อฐานลูกค้าต่างชาติของ BH ที่ยังไม่น่าจะกลับมาได้เท่าช่วงก่อนโควิด อาจจะต้องรอถึงปี’66 ขณะที่รายได้ลูกค้าต่างชาติสัดส่วนถึง 2ใน 3 ของรายได้รวม

 

ปิดท้าย บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ผลตอบแทนติดลบ 1.18% ราคาปิดลงมาที่ 8.35 บาท (30 พ.ย.)  บล. เอเซียเวลท์ ให้ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 10.10 บาท และแนะนำ “ซื้อ” หลังจาก่ไตรมาส 3 ผลดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว  เชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาส 4 จะพลิกฟื้นกลับมาได้จากกำไรของตัวบริษัทและบริษัทที่เข้าไปลงทุน  และยังมีการเปิด 5 โครงการ มูลค่า 8,920 ล้านบาท นับเป็นการเปิดโครงการมูลค่าสูงสุดของปีนี้ และส่งผลต่อยอดขายต่อเนื่องไปถึงปี’65

 

เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 1 เดือนจะหมดปี 2564 แล้ว  ปีหน้าจะเป็นปีที่สดใสของ 10 หุ้น SET 50 ที่ outperform ในกลุ่มนี้ให้ไปต่อหรือจอดต่อ คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะนับวันมีแต่ปัจจัยไม่แน่นอนเกิดขึ้น แต่หากใครพอใจกับกำไรหรือผลตอบแทนที่ได้รับแล้วอยากกอดเงินสด สามารถหาจังหวะดีๆ เพราะเดือนสุดท้ายแห่งปีเป็นเดือนที่มีเงินไหลเข้าจากกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี เป็นความหวังที่ตลาดหุ้นรีบาวด์ได้ช่วงสั้นๆ

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com