ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการซื้อขายหุ้นในรอบปี 2564 ก่อนจะเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2565 10 หุ้นตัวไหนสร้างความร่ำรวย โกยกำไรให้กับผู้ถือหุ้น และหุ้นตัวไหนสร้างความเจ็บช้ำทำนักลงทุนกระเป๋าฉีก มาติดตามกันได้ในรายละเอียด
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการซื้อขายหุ้นในรอบปี 2564 ก่อนจะเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2565 โดยดัชนี ณ สิ้นปี 2563 ปิดที่ 1,657.62 จุด เพิ่มขึ้น 208.27 จุด หรือ เพิ่มขึ้น 14.37% จากปีก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 21 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 30.27% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 8.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 31.25% และมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 19.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 21.58%
.
Clubhoon ได้สรุปภาพรวม หุ้นที่สร้างความร่ำรวย โกยกำไรให้กับผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรก ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบปี และหุ้นที่สร้างความเจ็บช้ำให้ทำนักลงทุนกระเป๋าฉีก ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 10 อันดับ
.
โดยหุ้นที่ร้อนแรงสุดในรอบปี ต้องยกให้ JTS หรือ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น เป็นหุ้น Talk of the town มีการพูดถึงกันมากที่สุด เพราะราคาวิ่งไม่หยุดหย่อนมาตลอดทั้งปี หลังจากหันมาลุยขุดเหมืองบิตคอย ซึ่งล่าสุดขุดมาได้แล้ว 8 เหรียญ ราคาจากต้นปีที่ 1.93 บาท ดีดตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ณ สิ้นปี มายืนที่ 131.00 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 129.07 บาท หรือ 6,687.56%
พูดง่ายๆ หากใครใช้เงิน 2 ล้านบาท ซื้อ JTS ไว้ 1 ล้านหุ้น เมื่อต้นปี ถือไว้ครบปีจะกลายเป็นเศรษฐี 129 ล้านเลยทีเดียว
.
หุ้นอีกตัวที่สร้างความร่ำรวย คือ SABUY หรือ บมจ. สบาย เทคโนโลยี จากราคา 3.30 บาท เมื่อต้นปี ขึ้นมายืนที่ 24.70 บาท เพิ่มขึ้น 21.40 บาท หรือ 648.48% ซึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังเข้าเทกโอเวอร์ บริษัท ทีบีเอสพี จำกัด (มหาชน) หรือ TBSP ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตบัตรพลาสติก เพื่อให้เกิด Business Synergy ให้กับฐานกลุ่มลูกค้าใน Ecosystem
.
หุ้นอีกตัวที่ต้องพูดถึง คือ TVI หรือ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ทั้งๆ ที่หุ้นกลุ่มประกันส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุน จากการรับทำประกันโควิด กันถ้วนหน้า แต่ TVI ไม่สะทกสะท้าน 9 เดือนปีนี้ ทำกำไรสถิติใหม่มากถึง 432.94 ล้านบาท มากกว่ากำไรแต่ละปีในช่วงที่ผ่านเกิน 3 เท่าตัว ราคาหุ้นจากต้นปีที่ 4.00 บาท ขยับมาอยู่ที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้นถึง 23.25 บาท หรือ 581.25%
.
ส่วนหุ้นที่สร้างบาดแผล ทำนักลงทุนกระเป๋าฉีก ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด คือ GL หรือ บมจ.กรุ๊ปลีส ราคาปรับตัวลดลงจาก
1.20 บาท เมื่อต้นปี หล่นลงมาเหลือแค่ 0.65 บาท ลดลงไป 0.55 บาท หรือ 45.83% เหตุผลเพราะสถานะการเงินย่ำแย่ ขาดทุนหนัก 9 เดือนปี 2563 ขาดทุน 876.98 ล้านบาท นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีปี 2564 ยังไม่ยอมงบของปี 2563 จนเข้าข่ายถูกเพิกถอน
.
หุ้นที่นักลงทุนกระเป๋าฉีกอีกบริษัท คือ SMK หรือ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ที่ถูกโควิดเล่นซะอ่วม จากการรับทำประกันโควิด เจอ จ่าย จบ ออกอาการเซ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 ขาดทุนถึง 3,662.38 ล้านบาท หรือ ขาดทุนต่อหุ้น 18.31 บาท จนราคาหุ้นร่วงหนัก จากต้นปีที่ 38.50 บาท หล่นมาอยู่ที่ 23 บาท ลดลงไป 15.50 บาท หรือ 40.25% จนล่าสุดต้องประกาศเพิ่มทุนหาพันธมิตรเข้ามาช่วยประคับประคองกิจการ
.
อีกตัวคือ KEX หรือ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) ที่เจอภาวะการแข่งขันที่สูง และราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่ง กดดันผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3/64 กำไรเหลือแค่ 12.83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 292.09 ล้านบาท จนนักวิเคราะห์หลายสำนักเปลี่ยนคำแนะนำการลงทุนใหม่ เช่น บล.กสิกรไทย เปลี่ยนคำแนะนำเป็นขาย และลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 27.46 บาท ทำเอานักลงทุนเลิกสนใจหุ้นตัวนี้ ทำให้ราคาจากต้นปีที่ 49.25 บาท ไหลลงมาเรื่อยๆ เหลือ แค่ 30.25 บาทตอนสิ้นปี ลดลงไป 19.00 บาท หรือลดลง 38.57%
.
ส่วนเข้าสู่สักราชใหม่ 2565 นักวิคราะห์หลายสำนักต่างมีมุมมองบวกต่อทิศทางตลาดหุ้น โดยส่วนใหญ่ประเมินเป้าหมายดัชนีไว้ใกล้เคียงกัน คือ 1,750 จุด ส่วนจะไปถึงหรือไม่คงต้องรอลุ้นกันต่อไป และขอให้นักลงทุนโชคดีในปีหน้ากันทุกๆ คน
--------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1