เปิดโผ 10 หุ้นน่าลงทุน คัดจากหุ้นในบทวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอส ที่มี Upside มากกว่า 30% จากการประเมินราคาเป้าหมาย
สถานการตลาดหุ้นที่ดูไม่ค่อยจะสดใส CLUBHOON จึงได้รวบรวมหุ้นที่มีโอกาสทำกำไร มาให้นักลงทุนได้พิจารณา โดยสำรวจจากบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวของ บล.เคทีบีเอส คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่ราคา ณ ปัจจุบัน ต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานมากกว่า 30% เพราะโอกาสการปรับตัวลงเริ่มจำกัด (Downside Risk)
ซึ่งจากการรวมรวบในบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวพบว่า หุ้นที่ราคาห่างจากราคาตามปัจจัยพื้นฐาน (Upside) ค่อนข้างสูง คือหุ้น TTA หรือ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ คาดกำไรในปี 2564 น่าจะแตะระดับ 3 พันล้านบาท ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 18 บาท อิงค่าพี/อี เรโช ปี 2565 ที่ 16.6 เท่า ในขณะที่ราคาปิดตลาด วันที่ 27 ม.ค. อยู่ที่ 8.55 บาท มี Upside มากถึง 110%
หุ้นอีกตัวที่โดดเด่น คือ HTECH จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 ที่จะฟื้นตัวโดดเด่น และแนวโน้มการเติบโตปี 2565 อยู่ที่ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากอุตสาหกรรม Data center ยังสดใส ผลการดำเนินงานของบริษัทยังอยู่ในช่วงขาขึ้น 3-5 ปี ข้างหน้า จึงได้ปรับราคาเป้าหมายจาก 9 บาท เป็น 9.50 บาท อิงค่าพี/อี เรโช ปี 2565 ที่ 18 เท่า ซึ่งปัจจุบัน HTECH ซื้อขายที่ 5.75 บาท มี Upside มากถึง 65% จากราคาเป้าหมาย
EPG หรือ อีสเทิร์น โพลิเมอร์ กรุ๊ป เป็นหุ้นอีกตัวที่ราคาซื้อขาย ณ ปัจจุบัน 10.30 บาท มี Upside ในระดับสูงถึง 65% จากราคาเป้าหมายที่ 17 บาท จากธุรกิจ Aeroflex (ฉนวนกันความร้อน/เย็น) และธุรกิจ EPP (บรรจุภัณฑ์) ที่ยังเติบโตโดดเด่น ประเมินกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ที่ 1,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
GLOBAL หุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีกวัสดุสร้างบ้าน เป็นอีกตัวที่น่าลงทุน เพราะราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ 18.40 บาท มี Upside ถึง 52% จากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 28 บาท คาดว่าผลประกอบการของ GLOBAL จะเติบโตได้ดีเนื่องจากยังมีแผนการขยายสาขา และปรับกลยุทธ์การขาย คาดกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ที่ 3,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนปี2565 ประเมินกำไรสุทธิที่ 3,490 ล้านบาท
SMD ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้อานิสงส์จากการขายเครื่องมือแพทย์เกี่ยวเนื่องโควิด ส่วนปี 2565 คาดกำไรที่ 333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 20 บาท อิงค่าพี/อี เรโช ปี 2565 ที่ 13 เท่า ขณะที่ราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่ที่ 13.70 บาท มี Upside จากราคาเป้าหมาย 45%
TIDLOR เป็นอีกตัวที่น่าสนใจ เพราะราคา ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 34.25 บาท มี Upside 45% จากราคาเป้าหมายที่ 50 บาท ประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ที่ 4,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนโดย 1. สินเชื่อที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และความต้องการสินเชื่อที่สูงขึ้นในช่วงที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 2. Cost to income ที่ลดลง และ 3.ค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลงตาม NPL ที่ดีขึ้น
LEO หรือ บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เพราะราคา ณ ปัจจุบัน Upside กว่า 35% จากราคาเป้าหมายที่ 20 บาท ประเมินกำไรปี 2565 ที่ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และปี 2566 คาดกำไร 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% คาดรายได้จะเติบโตจาก 1.ค่าระวางในปี 2565 ที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง 2.ผลประโยชน์จากการจับมือกับ China post และ Cardinal UK เต็มปี ซึ่งคาดว่าจะทำให้ปริมาณการขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศเพิ่มขึ้น 3.เริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งทางรางที่ทำร่วมกับ China post เป็นปีแรก
TOG มีการปรับราคาเป้าหมายจากเดิม 12 บาท เป็น 13.50 บาท จากการปรับประมาณการณ์ กำไรปี 2565 ขึ้นอีก 13% เป็น 311 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะมองว่าทิศทางผลการดำเนินงานจะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ มี Upside จากราคาที่ซื้อขาย ณ ปัจจุบันที่ 10.10 บาท ประมาณ 33%
ORI หุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดพรีเซลดีต่อเนื่อง ปัจจุบันซื้อขายที่ 11.30 บาท ต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่ 15 บาท หรือมี Upside ประมาณ 32% โครงการเดิมที่ทำยอดขายได้ต่อเนื่อง และจากการเปิดโครงการใหม่ ส่งผลให้ presales ทั้งปี 2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มากกว่าเป้าหมายที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2564 จะอยูที่ 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
TU เป็นหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ที่บล.เคทีบีเอส ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 27 บาท ขณะที่ราคา ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 20.60 บาท มี Upside จากราคาเป้าหมาย 31% คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564 ไว้ที่ 8,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และปี 2565 ประเมินไว้ที่ 8,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน