การระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทบต่อการดำเนินธุรกิจในทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้กระทั่ง SEAFCO ผู้นำในธุรกิจเสาเข็มคอนกรีตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จากการปิดแคมป์คนงานตามมาตรการภาครัฐ ในช่วง ก.ค.-ส.ค. กว่า 1 เดือนครึ่ง ทำให้คาดการณ์ว่าจะขาดทุนในไตรมาสที่ 3
.
ในมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3/64 ของ SEAFCO จะขาดทุน 20 ล้านบาท ปัจจัยหลักที่ฉุดผลการดำเนินงาน มาจากการปิดแคมป์คนงานตามมาตรการภาครัฐ ส่งผลต่อความคืบหน้าของงาน และการรับรู้รายได้ที่ลดลงตามระยะเวลา ประมาณ 1-1 เดือนครึ่ง โดยคาดบริษัทจะมีรายได้ราว 220 ล้านบาท ลดลง 58%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 39%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ระดับอัตรากำไรขั้นต้น ลดลง เหลือ 5.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่ระดับ 7.3% และเมื่อเทียบกับไตรมสเดียวกันปีก่อนที่ระดับ
11.3% ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังสูง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายป้องกันและการดูแลพนักงานจากสถานการณ์โควิด-19
.
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/64 มีโอกาสพลิกกลับเป็นบวกได้ จากการเข้าทำงานได้ปกติ ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังความชัดเจนจากการเริ่มเข้าทำงานโครงการใหญ่ โครงการ Central Embassy 2 ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงสุดของงานในมือราว 50% เป็นปัจจัยหนุน ขณะที่งานอื่นอยู่มีความคืบหน้า ประเมินเบื้องต้นการรับรู้รายได้จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 400-500 ล้านบาท
.
ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมือ 1.7 พันล้านบาท หลังจากล่าสุดได้รับงานใหม่วงเงินรวม 133 ล้านบาท จากโครงการของผู้ว่าจ้าง เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนี่ยริง 2 แห่ง และ The One Bangkok 1แห่ง ซึ่งนับจากต้นปี - ปัจจุบัน SEAFCO มีการรับงานใหม่มูลค่าโดยรวม 520 ล้านบาทน้อยกว่าปกติที่ระดับ 700-1,000 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19
.
อย่างไรก็ดีในปี 2565 ยังมีงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น งานรถไฟทางคู่สายใหม่เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยเฉพาะงานที่คาดหวังจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย สายสีส้ม/ม่วง ซึ่งจะมีมูลค่าของแต่ละเส้นทางราว 700-800 ล้านบาท และมีระดับระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี ช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรในช่วง 2-3ปี ข้างหน้า
.
ด้วยจุดเด่นของ SEAFCO คือ งานฐานรากที่มีความชำนาญ และความคาดหวังรับงานใหม่จากผู้รับเหมารายใหญ่ ทั้งจากงานรถไฟฟ้า และรถไฟทางคู่ในปี2565 ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสม ปี 2565 ของSEAFCO ไว้ที่ 5.34 บาท