ตลาดหุ้นเปิดต้นสัปดาห์ร่วงหนักกว่า 40-50 จุด รับกระแสร้อนระอุของโลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เสี่ยงลากอีกหลายประเทศเข้ามา ราคาน้ำมันพุ่ง กดดันเงินเฟ้อ เฟดกำลังเตรียมขึ้นดอกเบี้ยทั้งปี ล้วนเป็นส่งสัญญาณสะท้อนความยืดเยื้อและความเสียหายจากผลกระทบต่างๆที่รอเกิดขึ้นในระยะข้างหน้านี้ นักลงทุนควรตั้งรับการจัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์ต่างๆอย่างไรดี “หุ้น-ทอง-บอนด์-บิทคอยน์” มาดูคำแนะนำ 2 มุมมองของนักลงทุนรุ่นใหม่จาก CIS และนักกลยุทธลงทุนจากบลจ. ยูโอบี
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ให้มุมมองการลงทุนว่า
“ทองคำ” มีโอกาสจะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีในปีนี้ เนื่องจากโลกมีความเสี่ยงเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศตลอดทั้งปี โดยประเมินความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว แม้ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้ แต่ทั่วโลกจะหันมาจับตาการเคลื่อนไหวของรัสเซียหลังจากนี้
“ประเด็นของรัสเซียกับยูเครนน่าจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งของโลก ความไม่ลงรอยของกลุ่มผู้นำประเทศเดินหน้าเข้าสู่ภาวะตึงเครียดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปอีกนาน โดยผลการโหวตในสหประชาชาติได้สะท้อนแล้วว่าโลกถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสหรัฐอเมริกา ที่มี NATO เป็นแกนนำกับฝั่งทางรัสเซีย ขณะที่ จีน ยังมีประเด็นอ่อนไหวของไต้หวันที่รอจะเกิดขึ้นอีก ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ทุกฝ่ายมองแล้วว่าเป็นตัวเลือกปลอดภัยอันดับที่หนึ่ง หากโลกเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนและน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ด้วย”
ประกอบกับ “ทองคำ” ยังมีประเด็นเรื่องของการเป็นสินทรัพย์ที่สามารถบริหารความเสี่ยงกับอัตราเงินเฟ้อได้ ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) นำปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศมาใช้ในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่คาด ทองคำ ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยหนุนจากเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับสูง จากราคาน้ำมันที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย
ทางด้านปัจจัยทางเทคนิค ราคาทองคำ ได้ทะลุกรอบราคาแนวโน้ม Sideway ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วออกมาได้ หากราคาไม่ลงมาต่ำกว่าระดับ 1,840 ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังถือว่าเป็นเพียงแค่การย่อตัวเพื่อที่จะปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,077 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงมองว่าควรมีทองคำติดอยู่ในพอร์ตในปีนี้ โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวขึ้น 7.8% ขณะที่ “น้ำมัน” เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นกว่า 50% แล้ว
ในส่วนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ราคาบิทคอยน์มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นในระดับสูง จึงไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ถูกจัดให้เป็น Risky Asset มากกว่า สังเกตว่าตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขาย บิทคอยน์จะได้รับแรงกดดันไปด้วย โดยแนวรับสำคัญที่ต้องจับตาคือจุดต่ำสุดของรอบนี้ที่ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าไม่หลุดจากระดับนี้ ราคาบิทคอยน์จะยังคงเคลื่อนตัวในกรอบแบบ Sideway
“ในระยะสั้น หากความตึงเครียดระหว่างระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงอยู่ ราคาบิทคอยน์คงไม่กลับมาเป็นขาขึ้น ยกเว้นแต่ว่ารัสเซียจะหันมาใช้งานบิทคอยน์อย่างจริงจัง แต่หากบิทคอยน์ถูกนำมาใช้เป็นระบบการเงินทางเลือกในภาวะสงครามดังกล่าว ก็น่าจะเป็นการเสริมปัจจัยพื้นฐานบิทคอยน์ที่ดีขึ้นในระยะยาว”
ด้านตลาดหุ้นทั่วโลก หากดูจากกราฟเทคนิคจะเห็นว่าดัชนีส่วนใหญ่ลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนี และดัชนี EURO Stoxx50 ที่ติดลบลง 17% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงดัชนี NASDAQ ที่ติดลบ 15%
“ตลาดหุ้นยังคงน่าลงทุน เพียงแต่ต้องรอให้ภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มีทางออกที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นการสงบศึก หรือ มีฝ่ายแพ้-ชนะ ที่ชัดเจน การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น เป็นเพียงปัจจัยเชิงจิตวิทยา หากเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังไวรัสโควิด เช่น กลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว”
สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 16 มีนาคมนี้ ที่เดิมคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% ในครั้งเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะขึ้นเพียงแค่ 0.25% รวมถึงความคิดเห็นจากประธาน FED ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ทิศทางราคาของแต่ละสินทรัพย์ต่อไป
บลจ.ยูโอบี มองตลาดหมี เตือนระวังการลงทุน
ด้านนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี วิเคราะห์ว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 2565 ยังเป็น “ตลาดหมี ระวังตัว” แนะนำนักลงทุนระวังความเสี่ยงในช่วงที่มีสงครามระหว่างประเทศ สะท้อนภาพจากตลาดพยายามลดน้ำหนัการลงทุนใน "สินค้าฟุ่มเฟือย หุ้นยุโรป กองทุนแห่งอนาคตที่ไกลมากๆ หุ้นเทคโนโลยี" และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนระยะยาว 3 ธีมเมกะเทรนด์เด่น ได้แก่ ปฏิวัติอุตสาหกรรม การเงินไร้ตัวกลาง ป้องกันภัยไซเบอร์ สะสมการลงทุนในตลาดหุ้นขนาดใหญ่ คุณภาพดี จ่ายปันผลดี มีอนาคตชัดเจน
“เมื่อก่อนนี้ ใครที่คิดจะใช้ชีวิตในโลกแห่งอนาคต คงต้องกลับมายอมรับความจริงว่า ระยะสั้นอาจจะยังไม่ใช่ การลงทุนกลุ่มนี้ก็ต้องปรับลดส่วนดังกล่าวลงบ้าง ไม่ต้องรีบเข้าไปรับความเสี่ยงที่ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งควรเป็นนักลงทุนทั่วโลก ไม่ใช่แค่นักลงทุนในไทย ควรกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ จะได้มีโอกาสได้ผลตอบแทน และลดความเสี่ยงของพอร์ตในระยะยาวได้มากกว่ากระจุกการลงทุนไว้ในไทย ปัจจุบันนักลงทุนไทยยังมีลงทุนหุ้นไทยสัดส่วน 70% ของพอร์ตลงทุน แต่หุ้นไทยที่ได้ประโยชน์ในปีนี้มีแต่หุ้นแบบเดิมๆ แบงก์ พลังงาน”
จากสถานการณ์ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ได้กลายมาเป็นความเสี่ยงหลักของโลกการลงทุนในปีนี้ บลจ.ยูโอบี มองรูปแบบการลงทุนใน 2 กรณี ดังนี้
กรณีฐาน เมื่อ “สงครามจบ เงินเฟ้อไม่จบ” เมื่อเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง แต่เกิดวัฏจักรลงทุนรอบใหม ซึ่งสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเติบโตดีกว่าตลาด หรือ Outperform (ทำผลงานดี ) คือ หุ้นคุณภาพ หุ้นขนาดใหญ่ สินทรัพย์ทางเลือก
กรณีเลวร้าย “สงครามไม่จบ นับศพเศรษฐกิจ” คนที่ชนะสงคราม ไม่ใช่คนที่มีกำลังมากที่สุด แต่จะเป็นคนที่อึดที่สุด ซึ่งเชื่อว่า คนที่ชนะ คือ “รัสเซีย” หากมีการแบน(ห้าม)นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ราคาน้ำมันยิ่งขึ้น ทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และเฟดจำเป็นต้องใช้นโยบายขึ้นดอกบี้ย เพื่อดูแลเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสถดถอยปี 2567 ซึ่งสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าตลาด หรือ Outperform (สร้างผลงานได้ดีกว่า) คือ สินทรัพย์ปลอดภัย และป้องกันเงินเฟ้อ (ทองคำ)
สำหรับตลาดหุ้นไทย หากราคาน้ำมันเร่งตัวขึ้น คาดว่าจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปรับตัวลดลงราว 1-1.5% จากตัวเลขคาดการณ์ GDP ขยายตัว 3.5-4.5 % และหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมัน ปรับตัวขึ้น ลากไปอีกแค่ 1-2 เดือน อาจจะกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อของไทยได้เช่นกัน และอาจกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องกลับมาพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อคุมเงินเฟ้อเช่นประเทศหลักๆ ดังนั้น จึงยังต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อสูง
หากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูง น่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักมากต่อตลาดหุ้นไทย จึงประเมิน เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปีนี้ อยู่ที่ 1,580-1,770 จุด และหากราคาน้ำมันปรับตัวอยู่ระดับสูงเชื่อว่า ดัชนีฯไม่น่าจะเหลุด 1,600 จุด
ในส่วนของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 15-16 มี.ค. นี้ เชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แน่นอน และมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมทุกรอบ โดยปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยรวม 5 ครั้ง ส่งผลให้ดอกเบี้ยจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.25-1.5% เท่ากับช่วงปีก่อนโควิด และน่าจะลดงบดุลให้เสร็จสิ้นภายในช่วงครึ่งปีแรก เพื่อใม่ให้สภาพคล่องตึงตัวเกินไป และดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบาย
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ควรเห็นภาพการขยับเทขายของตราสารหนี้เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน แต่หากตลาดไม่ได้มีภาพตอบรับเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่า ตลาดสะท้อน “เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567” ต้องติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด
ถึงเวลาที่นักลงทุนต้องกลับมาสำรวจพอร์ตลงทุนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในด้านความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์แต่ละครั้งในที่สุดจะมีฉากจบก็ตาม แต่ก็จะมีปัจจัยใหม่ๆเกิดขึ้นอีก และนี่คือความไม่แน่นอนของการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนต้องจัดสัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุนให้เหมาะสมกับอายุและเป้าหมายการลงทุน เพื่อให้เงินก้อนนี้สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมา...