แนวโน้มตลาดวันนี้ (30 ก.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์/แกว่งขึ้น ระยะสั้นมีความคืบหน้าเรื่องมาตรการแก้หนี้ประชาชนและ SME กลับมาหนุนกำลังซื้อและการบริโภคกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ติดตามเงื่อนไขต่อฝั่งสถาบันการเงิน ส่วนเย็นนี้คาดจะมีการอนุมัติโครงการคนละครึ่งพลัส ที่น่าจะมีรายละเอียดออกมา ทางเทคนิค หากการพักฐานยังไม่หลุดต่ำกว่าแนวรับที่ 1278/1268 อีก มีโอกาสกลับมาเป็นการแกว่งตัวขึ้น การยืนเหนือ 1290-1293 ได้จะเป็นสัญญาณยืนยันการขึ้นรอบใหม่
ประเด็นสำคัญ
• นายกฯ อนุทินแถลงนโยบายเร่งแก้ปัญหา 5 ด้าน 15 นโยบายสำคัญภายใน 4 เดือน ด้านเศรษฐกิจจะเน้นลดค่าครองชีพ-เพิ่มกำลังซื้อ, แก้หนี้รายย่อย-หนุนสภาพคล่อง SMEs, เปิดโอกาสออมผ่านพันธบัตร และฟื้นท่องเที่ยว มองเป็นบวกต่อ SET โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก (CPAXT BJC TNP CPALL) สินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP HTC ICHI SAPPE) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW AWC MINT) กลุ่มไฟแนนซ์เป็นบวกต่อสินเชื่อ (MTC SAWAD TIDLOR)
• นายกฯ เผยว่าจะมีการประชุมครม. ในวันนี้ (30 ก.ย.) เวลา 18:00 น. หลังเสร็จการประชุมรัฐสภา คาดจะพิจารณาการอนุมัติใช้งบปี 2568 เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของปีงบฯ และโครงการ “คนละครึ่งพลัส” คาดจะใช้วงเงินราว 6 หมื่นลบ. เราคาดจะหนุน GDP ปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2%
• รมว. คลังเผยแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ประชาชนซึ่งจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ราว 1-2 ล้านสิทธิ์ และลูกหนี้ของธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส., กรุงไทย, และ ธอส. จะเป็นลักษณะของการพักชำระหนี้ โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ส่วนแนวทางการแก้ไข NPL รมว. จะเผยรายละเอียดในระยะต่อไป
• Fitch Ratings ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (IDRs) เป็น “ลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” สำหรับ 5 ธนาคารไทย คือ EXIM, KTB, TTB, SCBT (สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด) และ UOBT ส่วน BBL, BAY, KBANK, SCB และ SCBX ยังคงเดิมที่ “มีเสถียรภาพ”
• ตั้งแต่พรุ่งนี้ (1 ต.ค.) ถึงวันที่ 8 ต.ค. จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน (Golden Week) ตลาดหุ้นจีนจะปิดทำการในช่วงดังกล่าว สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรต่อการกลับมาของ นทท. จีน แนะนำ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว CENTEL และ ERW
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1260-1300 จุด โดยปัจจัยในประเทศติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน ส่วนปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ PMI จีนและสหรัฐฯ รวมทั้งตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าตัวเลขจะออกมาไม่ได้แย่กว่าที่ตลาดกังวล ทำให้ไม่กดดันตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่หากอ่อนแอมากขึ้น คาดจะทำให้ตลาดมีคาดหวังมากขึ้นต่อการเร่งปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในระยะถัดไป ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily Top Picks
CPAXT: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากโครงการคนละครึ่งพลัส คาดการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นใน 2H68 จะดีกว่า 1H68 ประมาณการกำไรปี 2568 +5% YoY ซึ่งการเติบโตจะได้แรงหนุนจาก Synergy ประเมินราคาเป้าหมายทางเทคนิคในระยะสั้นที่ 23.60 บาท
ADVANC: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากแนวโน้มกำไร 3Q68 มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่ง +31.9%YoY จากรายได้ Mobile คาดโต +4.8%YoY (EPL bundling) และ Fixed Broadband +7.6%YoY รวมถึงต้นทุนลดจากสัญญาสัมปทานประมาณ 300 ล้านบาท เราปรับเพิ่มกำไรปี 2568 ขึ้น 8.4%ประเมินราคาเป้าหมายระยะสั้น 297 บาท