Market

SCGP แจกปันผล 0.25 บ./หุ้น มั่นใจครึ่งปีหลัง เดินหน้าทำรายได้เติบโตกว่าครึ่งแรก  คงเป้ารายได้ทั้งปี 1.6 แสนลบ.
25 ก.ค. 2566

SCGP  ไตรมาส 2/66 ทำรายได้ 32,216 ล้านบาท ลดลง 4 % ขณะที่สามารถทำกำไรแข็งแกร่งที่ 1,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22 % จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการมุ่งเน้นกลยุทธ์การผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค   พร้อมแจกปันผล0.25 บ./หุ้น มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง รุกกลยุทธ์ขยายการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย ปักธงปีนี้กำเงินลงทุน 8 พันลบ. รองรับดีล M&P 2 ดีล 

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น แม้ยอดขายชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ปรับลดลง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของตลาดอินโดนีเซียซึ่งมีวันหยุดราชการยาวในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการขาย32,216 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อนหน้า  (QoQ) และลดลง 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่วนกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยและค่าเสื่อม ( EBITDA) อยู่ที่4,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสำหรับงวด 1,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และลดลง 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY)  และในวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2566

 

"แนวโน้มรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566  คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก และไม่น่าจะต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนด้วย จึงยังคงรายได้ปีนี้ไว้ที่ 1.6 แสนล้านบาท  โดยประเมินว่าแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมรับเทศกาลในช่วงปลายปี
แต่ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการส่งออกจากอาเซียนไปยังประเทศปลายทางแถบยุโรป ซึ่งความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงชะลอตัว โดยราคาต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปถึงช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ในขณะที่ราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) มีแนวโน้มทรงตัวซึ่ง SCGP ยังคงบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง" 

 

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ SCGP  

ปีนี้ได้ตั้งงบประมาณการลงทุน (CAPEX) สำหรับปี 2566 ไว้รวม 18,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงบสำหรับการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) ประมาณ 9,000 ล้านบาท นอกจากนี้เพื่อรองรับความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อหุ้นในPT Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) ประเทศอินโดนีเซีย บริษัทฯ จึงมีการบันทึกบัญชีรายการในงบดุลคิดเป็นมูลค่ารวม 23,204 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ซึ่งจะเป็นการซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มเติมจำนวนร้อยละ 44.48 โดยคาดว่าธุรกรรมนี้จะเกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางปี 2567

 

" SCGP ปกติมันโยบายการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ โดยจะมีการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) ปีละ 2-3 ดีล ในปีนี้ คาดว่าจะมีดีลMerger & Partnership ประมาณ 2 ราย  โดยรายแรกได้เตรียมเข้าลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายไตรมาส 3/2566 เพื่อรองรับการอุปโภคบริโภคสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศเวียดนาม เสริมความครบวงจรและการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างบริษัทย่อยอื่นๆ ในประเทศเวียดนามของ SCGP  โดยดีลนี้ใช้เงินประมาณ 3,000 ล้านบาท  และอีกดีลอยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่ ซึ่งจะเน้นดีลในอาเซียนเป็นหลัก ส่วนดีลเจรจานอกอาเซียน  จะพิจารณาว่า สามารถต่อยอดธุรกิจให้บริษัทลูกที่อยู่ยุโรป หรืออเมริกา รวมถึงต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ด้วย  ซี่งหากการเจรจาดีลมีความชัดเจนจะรายงานอีกที โมเดลการเติบโตของเราจะ มาจาก M&P  และออแกนนิก ซึ่งเป็นโมเดลที่ได้ผลและทำต่อไป"

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ด้วยการเดินหน้าตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีและเป็นกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับ SCGP โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง

 

ณะเดียวกัน SCGP ได้ทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคโดยอยู่ระหว่างร่วมกับออริจิ้น แมตทีเรียลส์ (Origin Materials) ในการพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ซึ่งผลทดสอบล่าสุดได้ผ่านขั้นตอนการทดสอบในห้องแล็ปและการปรับคุณสมบัติที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วผลเป็นที่น่าพอใจพร้อมเข้าสู่ขั้นตอน Pilot Plant Scale และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนาในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ SCGP ยังได้ทำการวิจัยและพัฒนา Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลกที่สามารถย่อยสลายได้ และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจในอาเซียน และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

 

SCGP ยังคงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวคิด ESG 4 Plus ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับและล่าสุด Sustainalytic ยังได้ประเมินอันดับ ESG Risk Ratings ของ SCGP ให้อยู่ในระดับ Low Risk ของกลุ่มอุตสาหกรรม Container & Packaging

 

นายวิชาญ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยต่อผลกระทบต่อ SCGPว่า  เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้อุปโภคบริโภค   และขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น ในขณะนี้จึงยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ ของSCGP

 

รายละเอียดผลดำเนินงานไตรมาส 2/66

SCGP มี กำไรสำหรับงวดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ที่เติบโต มาจากการวางกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิตในประเทศต่าง ๆ การเสริมแกร่งระหว่างธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบและจองระวางเรือขนส่งสินค้า และเพิ่มการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (Cross-Selling) นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ลดลง รวมถึงค่าระวางเรือขนส่งสินค้า ตลอดถึงการปรับสัดส่วนการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด โดยเพิ่มการผลิตเยื่อเคมีละลายน้ำได้ (Dissolving Pulp) ซึ่งมีราคาขายที่ดี เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เพิ่มขึ้น

 

ขณะที่ภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง และบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออกผลไม้ยังประเทศจีนปริมาณสูงมาก นอกจากนี้ ยังมีปริมาณการขายกระดาษพิมพ์เขียนเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดภาคการศึกษาและการเลือกตั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังผันผวน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ทำให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com