นับถอยหลังอีกแค่ 10 วัน ก็จะเข้าสู่ศักราชใหม่ ปี 2565 ซึ่งนักลงทุนหลายคนเริ่มประเมินทิศทางการลงทุนในปีหน้า โดยมุมมองของ บล.หยวนต้า คงเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,720 จุด บนสมมติฐานกำไรต่อหุ้นที่ 92 บาท/หุ้น อิงค่าพี/อี เรโช ที่ 18.7 เท่า ยก KBANK-TISCO-CPALL-BDMS-LH-AH-SMT เป็น 7 หุ้นมหัศจรรย์สำหรับการลงทุนในปีหน้า
บล.หยวนต้า เปิดมุมมองทิศทางตลาดหุ้น พร้อมกลยุทธ์การลงทุนปี 2565 โดยมองว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดที่ยังคงอยู่ การกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ที่เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2564 จะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง ที่ต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2565 และยังมีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม แต่ไม่น่าจะกระทบต่อตลาดรุนแรง
โดยคาดการณ์ เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวโต 3.69% บนสมมติฐานหลัก คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ และไม่มีการใช้มาตรการ Full Lockdown ขณะที่แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ปีหน้า คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประมาณ 6 ล้านคน (คิดเป็น 15% ของปี 2562) จากการเปิดประเทศของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยหนุนการจ้างงาน และการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือน และด้านการลงทุนทั้งภาครัฐและ เอกชน คาดจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอนที่ต้องติดตาม ได้แก่
1) การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิคอน หากขยายเป็นวงกว้าง อาจกลายพันธุ์เพิ่มอีก และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงของการใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง หรือมาตรการ Lockdown
2) มาตรการห้ามการเดินทางข้ามประเทศของจีน หากไม่มีการผ่อนปรน จะเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย เพราะมีสัดส่วนสูงถึง 28%ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปี 2562
3) อัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลักอยู่ในระดับสูง หากกินเวลานาน จะเป็นแรงกดดันให้นโยบายการเงินมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นและบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค
4) ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ฝ่ายวิจัย บล.หยวนต้า คงเป้าหมาย SET INDEX สำหรับปี 2565 ไว้ที่ 1,720 จุด บนสมมติฐานกำไรต่อหุ้น (EPS)ที่ 92 บาท/หุ้น คิดเป็นการเติบโตราว 8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และอิงค่าพี/อี เรโช ที่ 18.7เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี
โดยหุ้นกลุ่มหลักที่จะช่วยหนุนการเติบโตของดีชนีในปี 2565 ส่วนใหญ่ คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ หรือ Domestic Play เช่น กลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มมีเดีย, กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มอสังหาฯ เป็นต้น
ฝ่ายวิจัย จึงแนะนำปรับพอร์ตเพื่อให้สอดคล้องกับธีมการลงทุนในปี 2565 เราเลือกหุ้นใน ธีม ได้แก่
1) ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์ COVID คลี่คลายตัวลง
2) นโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางทั่วโลก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมา
3) เป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการปรับขึ้นราคา ช่วยชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น
4) เงินปันผลอยู่ในระดับสูง สอดรับไปกับการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2564
5) ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ในประเทศ
สำหรับหุ้นตัวเลือกอันดับต้นๆ (Top pick) ที่น่าสนใจลงทุนในปี 2565 ในมุมมองของ ฝ่ายวิจัยบล.หยวนต้า มองไว้ 7 หุ้นได้แก่
KBANK หรือกสิกรไทย เพราะมองว่า แนวโน้มการตั้งสำรองลดลงในปี 2565 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) มีโอกาสปรับตัวขึ้น, และการรุกเข้าสู่ธุรกิจ FinTech ชะช่วยต่อยอดรายได้ใหม่ๆ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 180 บาท
TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่อง จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง ให้อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 7% และยอดปล่อยกู้สินเชื่อรถยนต์มือหนึ่งได้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุน EV Car ของรัฐบาล ให้ราคาเป้าหมาย 104 บาท
CPALL หรือ ซีพี ออลล์ หุ้นกลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคบริโภคในประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 คลายตัว และการปรับโครงสร้างถือหุ้นใน MAKRO เสร็จสิ้น ให้ราคาเป้าหมาย 69 บาท
BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ ที่มีความโดดเด่นในการเนโรงพยาบาลระดับกลาง-บน มีความสามารถในการปรับขึ้นราคา จึงเป็นธุรกิจที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ และปี 2565 จะเห็นการเร่งตัวขึ้นของลูกค้าเงินสดทั้งในและจากต่างประเทศ ให้ราคาเป้าหมาย 27.90 บาท
LH หรือบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เป็นหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการ LTV ในปี 2565 และเป็นหุ้นหลักในกลุ่มที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield สูงถึง 6-7% โดยฝ่ายวิจัยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 10.20 บาท
AH หรือ บริษัท อาปิโก ไฮเทค ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ คาดว่าจะเป็นผู้ประกอบการไทยเริ่มปรับตัวเพื่อรับคำสั่งซื้อของรถยนต์ EV แล้ว และสถานการณ์ขาดแคลนชิปมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2565 ขณะที่มองในเชิงการประเมินมูลค่า หรือ Valuation ไม่แพง ที่ระดับ พี/อี ปี 2565 เพียง 7.2 เท่า โดยฝ่ายวิจัยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 34.40 บาท
SMT หรือ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หุ้นกลุ่ม Electronics ของไทย ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น จากเทคโนโลยีใหม่ เช่น Metaverse, 5G, EV Car, EV Battery ส่งผลให้ความต้องการใช้ชิ้นส่วน Electronics เพิ่มขึ้นในระยะยาว ให้ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท
--------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1