Market

คาดกำไรไตรมาส4กลุ่มแบงก์ กำไรกว่า 3.1 หมื่นล้าน ยก SCB โดดเด่น
28 ธ.ค. 2564

โบรกเกอร์ ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร มากกว่าตลาด "Overweight" เพราะคาดการณ์แนวโน้มกำไรไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จะเติบโตได้ดี จากการตั้งสำรองที่ลดลง และจากแนวโน้มดอกเบี้ยสู่ทิศทางขาขึ้น ยก SCB โดดเด่นสุดในกลุ่ม ให้ราคาเป้าหมาย 150 บาท หลังรุกธุรกิจ digital เต็มรูปแบบ
 
ในมุมมองของ บล.เคทีบีเอส คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 4/64 กลุ่มแบงก์ ที่วิเคราะห์ไว้ 9 ธนาคาร จะมีกำไรรวมกันประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 12%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
 
- กำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เกิดจาก 1) มีการตั้งสำรองฯที่ลดลงเนื่องจากช่วงไตรมาส 4/63 มีการตั้งสำรองฯไว้สูงมาก โดยเฉพาะ SCB และ TTB ที่ตั้งสำรองฯสูงมากใน4/63 และ 2) BBL ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับที่ปรึกษาทางด้าน ITจำนวน 3-4 พันล้านบาท

ทั้งนี้ กำไรสุทธิ ไตรมาส 4/64 คาดว่า ธนาคารที่จะเติบโตทั้งได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าคือ TISCO และ TTB โดยเติบโตได้จากสำรองฯที่ลดลง และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

ขณะที่ธนาคารที่มีกำไรสุทธิเติบโตได้โดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเดีวกันปีก่อนเรียงจาก มาก ไป น้อย คือ BBL เพิ่มขึ้น 138% TTB เพิ่มขึ้น 96% และ SCB เพิ่มขึ้น  61% เพราะส รองฯลดลงเป็นหลัก

ส่วนการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าได้ดีคือ TISCO เพิ่มขึ้น 6% รองลงมาเป็น TTB เพิ่มขึ้น 3% นอกนั้นหดตัวทั้งหมด

สินเชื่อไตรมาส 4/64 เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพราะสินเชื่อเช่่าซื้อและสินเชื่อบ้านเป็นหลัก ส่วน NPL ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ภาพรวมของสินเชื่อในไตรมาส 4/64 เราคาดว่า จะเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ เพิ่มขึ้น5.6%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะสินเชื่อรายย่อยในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อบ้านเป็นหลัก

นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต่ออายุถึงเดือน ธ.ค. 2023 ทำให้สินเชื่อยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ในส่วนของ NPLs รวมในไตรมาส 4/64 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.74% จากไตรมาส 3/64 ที่ 3.40% เนื่องจากแต่ละธนาคารไม่มีการขายหนี้ออกมา เพราะราคาตลาดปรับตัวลดลงมาก

คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะยังเติบโตได้ต่อในปี 2565 ที่ระดับ 8% เพราะแนวโน้มสำรองฯที่ลดลงจากการที่ตั้งสำรองเผื่อฯ มาเยอะแล้ว ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา และหากพิจารณาในส่วนของ Debt relief ของกลุ่มฯยังทรงตัวที่ระดับ 12% ในไตรมาส3/64 ขณะที่คาดแนวโน้มของ Debt relief มีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเพราะผลกระทบจากโอไมครอนที่กำลังระบาดรอบใหม่ แต่เชื่อว่าผ่านจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 2/63 ที่เริ่มโครงการที่ 30% ไปแล้ว เนื่องจากรอบนี้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าร่วมโครงการที่เข้มงวดมากขึ้น และแต่ละธนาคารยังคงให้ ความช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ที่เน้นเป็นระยะยาวมากขึ้น

นอกจากนี้ ธปท. ยังมีการขยายเวลามาตรการนี้ต่อถึง 31 ธ.ค. 2023 ทำให้เราคาดว่าแนวโน้ม NPL จะไม่ปรับตัวเร่งขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่จะเป็นรูปแบบค่อยๆ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่จะมี NPL เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดคือ BBL และ TISCO อย่างไรก็ดีเราคาดว่า NPLs จะทยอยเร่งตัวเพิ่มขึ้นในปี 2565 อยู่ที่ 4.20% จากปี 2564 ที่ 3.74% 

เรายังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น "มากกว่าตลาด" เพราะ 1) คาดกำไรสุทธิไตรมาส4/64 จะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากสำรองฯที่ลดลง และหลังจากการคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศทำให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมจะกลับมาฟื้นตัวได้ 2) NPL จะยังอยู่ในขาขึ้นแต่เป็นการทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะยังมีมาตรการช่วยเหลือต่อ และ 3) valuation ยังถูกเทรดที่ระดับเพียง 0.73x PBV ขณะที่เรายังคงเลือก SCB เป็น Top pick ราคาเป้าหมายที่ 150.00 บาท อิงค่า B/BV ปี 2565 ที่ 1.1 เท่า โดยเรามองว่า SCB ควรเทรดที่ premium กว่ากลุ่มที่ระดับ 1.5 เท่า เพราะการเปลี่ยนธุรกิจใหม่เป็น Holding company และการรุกในธุรกิจ digital เต็มรูปแบบที่เป็น trend ในอนาคตก่อน จะทำให้ได้เปรียบกว่าคู่แข่งมาก ขณะที่แนวโน้มของการตั้งสำรองฯที่เพียงพอแล้วและ NPL ไม่น่ากลัวเท่าคู่แข่ง

--------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com