โบรกเกอร์ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนกลุ่มแบงก์ รับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นทุกๆ 0.25% จะทำให้กลุ่มธนาคารมีอัตราการเติบโตต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.0% ยก SCB-TTB เป็นหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่ม
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแน่นอนว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลต่อหลายอุตสาหกรรมจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง คือกลุ่มธนาคาร เนื่องจากผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสุทธิ จะปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ย และทำให้โบรกเกอร์แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ เพราะคาดการณ์ว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต
โดยในมุมมองของ บล.เคทีบีเอส ระบุว่า ยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น Overweight หรือ "มากกว่าตลาด" เพราะตลาดหุ้นให้ความสนใจมากขึ้น ต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed โดยได้ศึกษาเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed พบว่ามีความสัมพันธ์กับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยมีความสัมพันธ์ทางสถิติสูงถึง 89%
คาดว่าจะเห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอย่างน้อย 1 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปี 2565 -ต้นปี 2566 ซึ่งจะส่งผลดีต่อประมาณกำไรของหุ้นในกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่
หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นทุกๆ 0.25% พบว่า กลุ่มธนาคารจะมีอัตราการเติบโตต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.0% โดยธนาคารที่ได้อัตราการเติบโตของกำไร เรียงจากมาก-น้อยคือ TTB, BBL, KTB, KBANK, SCB, KKP, TISCO
และคาดว่าหากตลาดคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจริง ในช่วงแรกจะเห็นการเร่งซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านเพิ่มมากขึ้นก่อน เพื่อล็อกอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ ซึ่งธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านเรียงจากมาก-น้อย คือ SCB, TTB, KBANK, KTB, BBL, KKP, TISCO
แม้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 5% แต่จากการประเมินมูลค่าในปัจจุบัน ถือว่ายังถูก เพราะซื้อขายที่ระดับเพียง 0.77 เท่าของมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น หรือ P/BV และหากเทียบกับในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยของไทยเป็นขาขึ้นมีการเทรดที่ระดับ 1.30 เท่าของ P/BV ทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่ปรับขึ้นมาก (laggard) และมีโอกาสที่จะขึ้นไปเทรดที่ระดับค่าเฉลี่ย ระดับ 1.30 เท่าของ P/BV ได้
โดยมุมมองของ บล.เคทีบีเอส ยังคงเลือก SCB เป็น Top pick ของกลุ่ม เพราะการเปลี่ยนธุรกิจใหม่เป็น Tech company รุกในธุรกิจดิจิทัล เต็มรูปแบบที่เป็นเทรนด์ในอนาคตก่อน จะทำให้ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ขณะที่แนวโน้มของการตั้งสำรองฯเพียงพอแล้ว และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ไม่น่ากลัวเท่าคู่แข่ง ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการกำไรได้เพิ่มขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 150 บาท
TTB เป็นอีกหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่ม จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2565 จะโตได้สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากต้นทุนแฝงที่ลดลง และการเริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูงเพิ่มขึ้นอย่างสินเชื่อเช่าซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 1.80 บาท