Market

มติ กบง.อุ้มน้ำมันดีเซล ส่องหุ้นน้ำมันใครรับผลกระทบมากสุด
26 พ.ย 2564

ส่องหุ้นน้ำมันใครได้รับผลกระทบมากสุด หลัง กบง.มีมติอุ้มน้ำมันดีเซลไว้ที่ 28 บาท/ลิตร โบรกฯ เห็นตรงกัน PTG อ่วมสุด เพราะมีการขายน้ำมันดีเซลสัดส่วนสูง

 

มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ล่าสุดที่ตัดสินใจกลับลำมา “อุ้มน้ำมันดีเซล” ด้วยการปรับลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล ให้มีสัดส่วนผสมเดียวที่ 7% (B7) จากเดิมที่ผสม 7%, 10% และ 20% โดยจะดำเนินการในเดือน ธ.ค. 64 - มี.ค. 65 พร้อมขอให้คงค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร โดยคาดว่า จะทำให้ราคาดีเซลอยู่ ที่ 28 บาท/ลิตรนั้น

 

มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบมายังธุรกิจปั้มน้ำมันโดยตรง จากการขอให้คงค่าการตลาดดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร มีผลต่อผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ทั้งในส่วนของหุ้นบริษัทน้ำมันต่างๆ หรือแม้แต่หุ้นบริษัททีผลิตเมทิลเอสเทอร์ ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำมันไบโอดีเซล

 

บล.เอเชีย เวลท์   มองว่า การเข้าไปอุ้มน้ำมันดีเซลของ กบง.ครั้งนี้ จะเป็นผลเชิงลบต่อหุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ในแง่ค่าการตลาดที่จะลดลงราว 20% แต่จะถูกชดเชย จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่คาดจะฟื้นตัวราว 17-20% จากภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตร และภาค ขนส่ง ภายหลังการเปิดเศรษฐกิจ ขณะที่การลดสัดส่วนไบโอดีเซล จึงคาดว่า จะไม่กระทบต่อบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 5 แสนลิตรต่อวัน แต่ PTG ใช้ไบโอดีเซลราว 7-8 แสนลิตรต่อวัน รวมถึงการใช้ น้ำมันไบโอดีเซล B7 เป็นหลักที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของน้ำมันดีเซลทั้งหมด จึงคาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 จะถูกจำกัดการฟื้นตัวจากผลกระทบดังกล่าว

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า มาตรการของรัฐที่ควบคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร จะกระทบกับผลประกอบการของ PTG ในไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า ให้มีโอกาสขาดทุน หากค่าการตลาดดีเซลยังลงไปในระดับดังกล่าว และรัฐไม่มีมาตรการช่วยเหลือสถานีบริการน้ำมัน เพราะเป็นระดับที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนของ PTG ในขณะที่ประเด็นการปรับสูตรน้ำมันดีเซลให้เหลือแค่ B7 เพราะกระทบต่อความต้องการไบโอดีเซล(B100) ที่ใช้เป็นส่วนผสม ซึ่งกระทบต่อ Plam complex ที่ PTG เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 40% ทำให้มีกำไรลดลง

 

 

คาดว่า กำไรสุทธิ 2021-2022F เบื้องต้นคาด downside ปี 2021-2022F ที่ 28% และ 21% ตามลำดับ คิดเป็นกำไรสุทธิที่ 1 พันล้านบาท (-48% YoY) และ 1.3 พันล้านบาท (31%YoY) แนะนำให้ “ชะลอการลงทุน” จนกว่าปัจจัยกดดันเหล่านี้จะลดลง หรือมีแนวทางช่วยเหลือที่ชัดเจนจากภาครัฐ โดยให้น้ำหนักไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไปถึงจะกลับสู่ภาวะใกล้เคียงปกติ

ด้าน บล.คันทรีกรุ๊ป มองว่า หุ้นที่ได้รับผลกระทบจะเป็น บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เนื่องจากปัจจัยข้างต้นจะเป็นปัจจัยลดอุปสงค์ไบโอดีเซล ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลัก 65.7% จากการขายเมทิลเอสเทอร์เป็นผลิตภัณฑ์นำไปผสมเป็นไบโอดีเซล ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ คือ ปั๊มน้ำมัน ได้แก่ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ PTG เนื่องจากมีการตรึงค่าการตลาด โดยเฉพาะ PTG จะกระทบค่อนข้างสูงกว่า เพราะมีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลราว 70% ของปริมาณทั้งหมด

 

ส่วน บล.โกลเบล็ก มองว่า มาตรการนี้เป็นผลลบต่อปั๊มน้ำมัน เนื่องจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะทำให้ค่าการตลาดต่อลิตร  ปรับตัวลดลง โดยหุ้นที่ได้ผลกระทบมากที่สุด คือ PTG ที่มีการขายน้ำมันดีเซลสัดส่วนสูง ขณะที่ OR และ BCP ได้รับผลกระทบเชิงลบรองลงมา

-------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com