ปี 2565 น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับ บริษัท เฮลท์ เอ็มไพร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ HEMP เพราะมีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นปีแรกที่จะ เทิร์นอะราวด์ หรือ กลับมามีกำไร หลังจากขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน
บริษัท เฮลท์ เอ็มไพร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ HEMP เดิมคือ บริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านขายซีดีแบรนด์ "แมงป่อง" ที่ถูกดิสทรัปด้วยโลกยุคดิจิทัล จนประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จึงต้องกลับตัวแบบ 360 องศา ทิ้งธุรกิจดั้งเดิม ปรับตัวสู่ธุรกิจด้านการส่งเสริมสุขภาพ (Healthcare & Wellness) ซึ่งอยู่ในกระแสการเติบโตในอนาคต
มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ภายใต้กลุ่มทุนใหม่ พร้อมการจัดการของผู้บริหารชุดใหม่ นำโดยคุณสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา ที่มานั่งกำหนดนโยบาย ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมกับการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความชัดเจน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
ปัจจุบัน โครงสร้างธุรกิจ HEMP ประกอบด้วย
- ธุรกิจด้านการปลูก กัญชา กัญชง กระท่อม สมุนไพรอื่นๆ
- ธุรกิจด้านการผลิตและจัดนำหน่าย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร
- ธุรกิจด้านการแพทย์ และสุขภาพ ประกอบด้วย คลินิกทางการแพทย์แผนไทย และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงวัย
- ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม ( Wellness & Spa) ให้บริการคลินิกเสริมความงาม ผ่าน บริษัท สลิม เวลเนส เอเชีย จำกัด ภายใต้แบรนด์ สลิม คอนเซปต์ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมความงาม ผ่าน บริษัท เอเชีย มิราเคิล เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โดยเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา HEMP ได้เข้าซื้อบริษัท มอร์ เมดดิคัล จำกัด (MMD) จากบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นบริษัทย่อย เพราะมีธุรกิจที่สอดคล้องกับบริษัท
และเมื่อกลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา HEMP เพิ่งจะอนุมัติให้ มอร์ เมดดิคัล เข้าซื้อหุ้นในบริษัท ไทยกัญชง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่จังหวัดเชียงใหม่ คิดเป็นสัดส่วน 40% ของทุนจดทะเบียน เป็นเงิน 80 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และสามารถต่อยอดกับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันให้บริษัทฯ
คุณสามารถ เล่าว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ค่อนข้างจะ Low Profile ไม่ค่อยจะมีข่าว แม้จะรุกธุรกิจด้านกัญชา และกัญชง เหมือนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หลายๆ แห่ง เพราะไม่ต้องการสร้างกระแส เพื่อหวังผลด้านราคา เนื่องจากเรายังอยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างองค์กร และโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันเริ่มเข้าที่เข้าทาง และเริ่มเดินหน้าในธุรกิจอย่างจริงจัง
พร้อมทั้งพยายามสร้างฐานะการเงินให้กลับมามีความแข็งแกร่ง ซึ่งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ โดยในปี 2563 ติดลบ 21.85 ล้านบาท และถูกขึ้นเครื่องหมาย "C" แต่ ณ สิ้นปี 2564 สามารถแก้ปัญหา จนส่วนผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวก 1,221.79 ล้านบาท แม้จะยังน้อยกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 4,588.52 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้เร่งแก้ไขปัญหา โดยเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2565 บริษัทฯ ได้ลดทุนจดทะเบียน จากทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 4,588.52 ล้านบาท เป็น 355.69 บาท โดยเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ จากเดิมหุ้นละ 12.90 บาท เป็น 1.00 บาท เพื่อชดเชยส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ โดยที่ยังคงมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนคงเดิมเท่ากับ 533.54 ล้านหุ้น
ภายหลังการดำเนินดังกล่าว ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้น จะมีค่าเท่ากับร้อยละ 92.58 มากกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนชำระตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ และจะทำให้บริษัทฯ ได้รับการปลดจากการถูกขึ้นเครื่องหมาย C ต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับข่าวดีภายในไตรมาสนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 แม้ไตรมาสแรกของปีอาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะยังอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่หลังจากทุกอย่างลงตัว ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ ทำให้คาดว่าทั้งปีรายได้น่าจะเติบโตกว่าปี 2564 และผลประกอบการน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านๆ มา อย่างแน่นอน แต่จะดีกว่าเท่าไหร่ อย่างไร สิ้นปี 2565 คงได้เห็นกัน