Market

แบงก์โกยกำไรรวมกัน 5.3 หมื่นล้าน KBANK กำไรมากสุด - CIMBT กำไรพรวด 210%
21 เม.ย 2565

กลุ่มแบงก์ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2565 กำไรรวมกัน 53,338 ล้าน โตเพิ่ม 14.38% เหตุตั้งสำรองหนี้เสียลดลง ปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลง KBANK โกยกำไรมากสุด 11,211 ล้าน 

 

สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์การประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ของกลุ่มแบงก์ ซึ่งทยอยรายงานมาครบแล้วทั้ง 10 แห่ง ซึ่งมี 9 แบงก์ ล้วนกำไรเพิ่มขึ้น มีเพียง LHFG ที่กำไรลดลง โดยส่วนใหญ่เกิดจากการตั้งสำรองหนี้เสียลดลง ขณะที่มีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จากปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นหลังสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

 

โดยทั้ง 10 แบงก์ มีกำไรรวมกัน 53,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.38% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรรวมกัน 46,631 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นถึง 25.64% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มีกำไร 42,453

 

KBANK โกยกำไรมากสุด 11,211 ล้าน

ธนาคารที่กำไรมากสุด คือ KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสุทธิ จำนวน 11,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 5.50% และเพิ่มขึ้น 13.23 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลักๆ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น หรือ 12.86% จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ

 

SCBB กำไร 10,193 ล้าน

ตามด้วย ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBB กำไรสุทธิ 10,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายตัวของฐานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และประกอบกับการตั้งเงินสำรองที่ลดลง

 

KTBกำไรโดดเด่น 8,780 ล้านบาท

ลำดับ 3 คือ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรค่อนข้างโดดเด่น มากถึง 8,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.40%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น  5.6% จากสินเชื่อที่เติบโตโดยธนาคารมุ่งเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพ สินเชื่อเติบโตดีทั้งสินเชื่อภาครัฐ สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อรายย่อย ประกอบกับ มีการบริหารต้นทุนทางการเงินเป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่อง และมีรายได้จากการดำเนินงานอื่นที่ขยายตัว รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งลดลง 3.5% ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 41.25% ลดลง จาก 44.25% ในไตรมาส 1/2564


กรุงศรี กำไรโต 14%

ลำดับ 4 คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY มีกำไร  7,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 6,505 ล้านบาท มีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงาน และการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 


 
BBL กำไรมากเป็นอันดับ 5

ส่วนแบงก์ใหญ่อย่าง BBL กำไรหล่นมาเป็นอันดับ 5 อยู่ที่ 7,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 2.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 6,923 ล้านบาท ขนาดมีรายไดด้อกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 10.4% จากการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ แต่เพราะตั้งสำรองในระดับสูง โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต เพิ่มขึ้นเป็น 229%

 

ซีไอเอ็มบี ไทย กำไรพุ่งพรวด 210%

แต่หากเทียบแบงก์ที่กำไรเติบโตโดดเด่นที่สุด คือ CIMBT มีกำไรเพิ่มขึ้น 210.9% อยู่ที่ระดับ 1,061 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรเพียง 341 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากการตั้งสำรองลดลง 64% บวกกับการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 14% แต่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 0.8%

 

KKP ไตรมาสแรกกำไรโต 40%

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เป็นอีกแบงก์ที่ผลการดำเนินงานโดดเด่น มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 จำนวน 2,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 1,463 ล้านบาท หลักจากการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจการให้สินเชื่อ รวมถึงค่าใช้จ่ายสำรองที่ปรับลดลงตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดี

 

TTB กวาดกำไรกว่า 3 พันล้าน โต 15%

ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB มีกำไร 3,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ หรือ PPOP 8,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทิสโก้ กำไร 1,795 ล้าน ตั้งสำรองลด

กลุ่มทิสโก้ รายงานว่า มีกำไรสุทธิ 1,795 ล้านบาท เติบโต 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการปรับลดค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ด้วยระดับ NPLs ที่ลดลงกว่า 571 ล้านบาท มาอยู่ที่ 2.15% ต่อสินเชื่อรวม จาก 2.44% เมื่อสิ้นปี 2564 โดยบริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างตรงจุด

 

LHFG แบงก์เดียวที่กำไรลด

ส่วน LHFG หรือ แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป เป็นแห่งเดียวที่กำไรลดลง เหลือ 512 ล้านบาท หรือลดลง 8.70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนทมี่มีกำไร 560 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการตั้งสำรองในระดับสูง ตามหลักความระมัดระวัง และเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการต่างๆ ในการช่วยเหลือลูกค้า แต่หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง จะมีกำไร 1,117ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com