บล.เอเซียพลัส คาดหุ้นรอบบ่ายแกว่งตัวในกรอบ 1,630-1,650 จุด หลังเช้าร่วงกว่า 40 จุดหรือกว่า 2% นำตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ชี้เทรดดิ้งหุ้นคอมมอดิตี้ต้องเข้าออกเร็ว จับตาผลเจรจา"รัสเซีย - ยูเครน" รอบ 3 คืนนี้ หากเจรจาไม่คืบหน้า ตลาด wait & see พร้อมมองดัชนีภายในสัปดาห์นี้มีแนวรับ 1,610-1,615 จุด และแนวต้าน 1,655 จุด เชื่อสัปดาห์นี้ยังไม่หลุด 1,600 จุด แนะกลยุทธซื้อช่วงหุ้นลงแรง เน้นกลุ่มค้าปลีก-โรงพยาบาล
นายชาญชัย พันทาธนากิจ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงวันนี้ ว่า หลังจากที่รอบเช้าวันนี้ ตลาดหุ้นไทยลงลึกต่ำสุดที่ 1,628.50 จุด ร่วงราว 40 จุด ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาได้ปิดตลาดรอบเช้านี้ระดับ 1,638.69 จุด ลดลง 33.53 จุด หรือ -2.01% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงลึกพอสมควร สำหรับการตอบรับข่าวลบจากกรณีสหรัฐและยุโรปเตรียมจะคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย หลังจากเข้าโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันที่ปรับตัวลดลงแรงใกล้เคียงไทย ได้แก่ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ที่ร่วง 2% ส่วนตลาดหุ้นอินโดนีเซียลดลง 0.8% โดยตลาดหุ้นไทยกลุ่มที่ลงแรงสุดได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวร่วงกว่า 4% ตามด้วยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -3.4% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ -3% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน -1.2%
"ในระยะสั้นยังเห็นดัชนีแกว่งจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ นักลงทุนถอยออกจากตลาดหุ้นกัน และโยกไปเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยพวกทองคำ ที่วันนี้แตะ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ และบอนด์สหรัฐ (พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ) อายุ 10 ปี วันนี้ราคาเด้ง ผลตอบแทนลดลงเหลือ 1.7% จากก่อนหน้านี้อยู่่ที่ 2% หลังจากที่ตลาดรับรู้ใหม่ว่า เฟดไม่น่าจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดแล้ว ตลาดปรับคาดการณ์ใหม่ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 5 ครั้งต่อปี จากก่อนหน้านี้ (เดือนก.พ.) คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 7 ครั้ง และเงินเฟ้อขึ้นแรง จะปรับขึ้นครั้งละ 0.50% อย่างไรก็ตาม ในการประชุม FOMC ปลายเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยราว 0.25% และเมื่อเกิดรัสเซีย-ยูเครนขึ้นมาอีก จึงทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนบอนด์สหรัฐต่อ และจากสถานการณ์ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่ชะลอลง จึงทำให้ตอนนี้หุ้นกลุ่มแบงก์ถูกเทขายทำกำไรหลังขึ้นไปได้ไม่นาน" นายชาญชัย กล่าว
สำหรับตลาดในรอบบ่ายวันนี้ คาดว่าไม่น่าจะปรับตัวลงลึกแล้ว โดยคาดว่า SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,630-1,650 จุด เนื่องจากยังมีแรงซื้อเก็งกำไร (เทรดดิ้งระหว่างวัน) ในหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้น Comodity ซึ่งจะเกี่่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นแรง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน และราคาถ่านหิน แต่ทั้งนี้ต้องดูเป็นหุ้นรายตัวที่ได้ประโยชน์ นำโดย บมจ. ปตท.สผ. (PTTEP) และบมจ. บ้านปู (BANPU)
นายชาญชัย กล่าวว่า จากภาพตลาดหุ้นตอนนี้มีทิศทางที่อ่อนไหวไปกับทิศทางสถานการณ์ในยูเครนเป็นรายวันอย่างใกล้ชิด ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ (รัสเซีย-ยูเครน) จะมีการเจรจารอบที่ 3 ที่จะเกิดขึ้นในคืนวันนี้ โดยเวลานี้ดูเหมือนว่าท่าทีประธานาธิบดียูเครนเริ่มมีท่าทีจะยอมอ่อนข้อให้กับประธานาธิบดีรัสเซีย หากการเจรจามีความคืบหน้าพัฒนาไปในทางที่คลี่คลาย ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยพร้อมจะดีดกลับขึ้นมาด้วย แต่หากผลการเจรจายังไม่คลี่คลายทางที่ดีได้ และหากสงครามกระจายไปประเทศอื่นๆในยุโรป ตลาดหุ้นก็พร้อมปรับตัวลงต่อเนื่อง แนะนำให้นักลงทุน wait & see ทางเอเซียพลัส ประเมินว่า SET มีแนวรับ 1,610-1,615 จุด โดยเชื่อว่าดัชนียังไม่หลุดแนวรับหลัก 1,600 จุด และแนวต้าน 1,655 จุด
กลยุทธลงทุนในช่วงตลาดหุ้นลงแรงในสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน "ยืดเยื้อ" ควรเลือกหุ้นที่เป็น Defensive ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในกรอบจำกัด และเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 นำโดย กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL MAKRO BJC HMPRO ส่วนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BDMS BH ซึ่งมีแนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติในสัปดาห์นี้ มีโอกาสที่จะขายสุทธิได้ เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อน อย่างไรก็ตาม คาดว่าแรงขายไม่น่าจะมาก เพราะต้นทุนที่เข้าลงทุนอยู่ที่ SET 1,700 จุด