คนจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน MAKRO ขาดทุนกันถ้วนหน้าหุ้นละ 1 บาท หลังเข้าเคาะซื้อขายวันแรก หล่นเหลือ 42.50 บาท นักวิเคราะห์ย้ำ ต้องเน้นลงทุนระยะยาว บล.กสิกรไทย ให้ราคาเป้าหมาย 49 บาท 

หุ้น MAKRO หรือ สยามแม็คโคร ถูกนักลงทุนวิจารณ์กันหนักมาก หลังจากหุ้นเพิ่มทุนที่มีนักลงทุนผู้จองซื้อกว่า 770 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 43.50 บาทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก ปรากฏว่าสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ราคาหล่นลงมาเหลือ 42.50 บาท ขาดทุนกันถ้วนหน้าหุ้นละ 1 บาท
 
โดยในโลกโซเชียลตามกลุ่มคนหุ้นทั้งในกลุ่มไลน์ และเฟซบุ๊ค ต่างหาว่าเหมือนจงใจหลอกเอาเงินนักลงทุน เพราะช่วงการเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เหมือนมีความพยายามจะผลักดันราคาประคองไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 45 บาท เพื่อจูงใจให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อคาดหวังกำไรส่วนต่างจากราคาในกระดาน ซึ่งก็ทำให้มีนักลงทุนจองซื้อกว่า 770 ล้านหุ้น ได้เงินจากนักลงทุนที่ช่วยกันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการกว่า 33,495 ล้านบาท 

แต่หลังจากหุ้นเพิ่มทุนเข้าซื้อขายก็ปล่อยราคาไหลลง ลอยแพนักลงทุน ขาดทุนกันถ้วนหน้า บางรายยอมขายตัดขาดทุนขายหุ้นทิ้งทันที เพราะเสียความรู้สึกกับหุ้นตัวนี้

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า ราคาหุ้น MAKRO ที่ปรับตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากแม็คโครได้นำหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,100 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันนี้เป็นวันแรก ซึ่งอาจมีคนซื้อเข้าไปเก็งกำไรก่อนตั้งแต่ตอนแรกที่คาดหวังว่าราคาจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่โดยรวมแล้วเซนติเมนต์ทั้งกลุ่มหุ้นค้าปลีกวันนี้ไม่ได้มีทิศทางที่เป็นบวกมากนัก

อย่างไรก็ตามหุ้น MAKRO ต้องเน้นลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่เข้ามาในระยะสั้นเนื่องจากเดิมอาจจะมีกรีนชูมาช่วยหนุนแต่สุดท้ายไม่มี ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมีการเทขายออกมา โดยในมุมมองของบล.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้ถือ ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ไว้ที่ 49 บาท 
 
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้น MAKRO โดยเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด ได้ขายหุ้น MAKRO ในนส่วนการจัดสรรต่อประชาชนทั่วไป จำนวน 132 ล้านหุ้น หรือ 1.25%

บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ได้ขายหุ้น MAKRO ในนส่วนการจัดสรรต่อประชาชนทั่วไป จำนวน 66 ล้านหุ้น หรือ 0.62%

และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ขายหุ้น MAKRO ในนส่วนการจัดสรรต่อประชาชนทั่วไป จำนวน 132 ล้านหุ้น หรือ 1.25%