โบรกเกอร์ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมา โดยเฉพาะ CK-STEC-ITD หลังการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เป็นกลุ่มตัวเต็ง CK และ STEC
วันนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้เปิดประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) วงเงินรวมกว่า 8.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี 5 เอกชนรับเหมารายใหญ่ของไทย ร่วมยื่นข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.กลุ่มกิจการร่วมค้า CKST ที่มีพันธมิตรระหว่างบริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC 2.กลุ่มกิจการร่วมค้า ITD-NWR MRT ที่มีพันธมิตรระหว่างบริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ITD และบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR และ 3. บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ โดยทั้ง 3 ราย ยื่นข้อเสนอประกวดราคางานโยธาครบทั้ง 6 สัญญา
บล.เคทีบีเอส ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมา โดยเฉพาะผู้รับเหมารายใหญ่ ได้แก่ CK,STEC,และITD ที่เป็นกลุ่มตัวเต็ง ในการประมูลครั้งนี้ ขณะที่ผู้รับเหมาต่างชาติ เรามองว่าจะเป็นการเข้า มาจับมือกิจการร่วมค้า ร่วมกับผู้รับเหมาไทย
สำหรับ CK และ STEC ในอดีตที่เคยจัดตั้ง กิจการร่วมค้า ในโครงการสายสีส้มตะวันออกและทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ทำให้มองว่ามีโอกาสที่ทั้ง 2
บริษัทจะร่วมกันในการประมูลอีกครั้ง ซึ่งประเมินว่า CK และ STEC มีโอกาสจะชนะประมูลร่วมกันอย่างน้อย 2 สัญญา มูลค่ารวมราว 3 หมื่นล้านบาท
และประเมินเบื้องต้น หากตั้งสมมติฐานสัดส่วนถือหุ้นกิจการร่วมค้า ที่ CK 60% และ STEC 40% จะมีมูลค่าต่อราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นราว 0.40 และ 0.30 บาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ เราคาดงานก่อสร้างจะเริ่มได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยประเมินงานดังกล่าวจะ มีส่วนช่วยต่ออัตราการเติบโตของกำไรมากขึ้นในปี 2566 และเป็นช่วยเพิ่มกำไร CK และ STEC ปี 2566 ได้ราว 6-7% ด้านผู้รับเหมาฐานราก คาดจะเห็นความชัดเจนการเข้ารับงานรับเหมาช่วง ฐานรากสถานีรถไฟฟ้าในปี 2566
ในความเห็นชองบล.บล.เคทีบีเอส ยังคง "Overweight" กลุ่มรับเหมา จากการเปิดประมูลโครงการใหญ่ที่มีความคืบหน้าต่อเนื่อง และมองว่ามีโครงการค้างท่อที่จะทยอยเปิดประมูลในช่วง 2-3 ปี ข้างหน้ารวมสูงถึง 8 แสน ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่โดดเด่นสุดในกลุ่มได้แก่ CK โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ 25.00 บาท จากทิศทาง มูลค่างานในมือ ปี 2565 ที่เข้าสู่ S Curve รอบใหม่และจะกลับไปแตะระดับสูงถึง 1แสนล้านบาท