Market

DOD ปรับโครงสร้างธุรกิจ  อัดงบ 200 ล้าน ลุยกัญชงปั้นรายได้ธุรกิจสายเขียว 
25 ก.พ. 2565

บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) โชว์ศักยภาพด้านการพัฒนาวิจัยคิดค้นสูตรนวัตกรรม และการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ สู่ New S-Curve ดัน“สยาม เฮอเบิล เทค” ลุยโรงสกัดสารสกัดจากกัญชงเต็มสูบ เล็งสกัดสารสำคัญกัญชงต่อยอดการผลิตธุรกิจหลัก ประกาศอัดงบลงทุน 200 ล้านบาท เพิ่มไลน์ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร – โรงสกัดสารกัญชง  

 

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า หลังจากภาครัฐได้ประกาศปลดล็อคให้กัญชง สามารถขออนุญาตปลูก ผลิต นำเข้าเมล็ดพันธุ์ ครอบครอง และจำหน่ายได้อย่างเสรี บริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสในการลงทุนดังกล่าว จากความเชี่ยวชาญของ DOD ในด้านการพัฒนาวิจัยคิดค้นสูตรนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 

 

ซึ่งมีจุดแข็งและความพร้อมด้านโรงสกัดวัตถุดิบ ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ที่ค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมและพัฒนาสารสกัดพืชสมุนไพร สู่การต่อยอดไปยังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีอยู่แล้ว และสามารถต่อยอดธุรกิจใหม่อย่าง ธุรกิจโรงสกัดสารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม และพืชสมุนไพรไทย ภายใต้ “บริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด” (SHT) ด้วยทุนจดทะเบียน 260 ล้านบาท ทำให้ในช่วงปีที่ผ่านมา DOD สามารถตอกย้ำการเป็นผู้พัฒนาและต่อยอดการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ บริษัทฯมองว่าจากแผนการวางกลยุทธ์การปรับโมเดลธุรกิจ และการต่อยอดธุรกิจโรงสกัด ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ New S-Cure อย่างเต็มรูปแบบในปี 2565   

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน สู่ New S-Cure ในปี 2565 บริษัทฯ ได้ตั้งงบสำหรับการลงทุน (CAPEX) ไว้ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งมาจากกระแสเงินสดของกิจการเป็นหลัก โดยแบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยการนำนวัตกรรมการผลิตในรูปแบบใหม่ๆ เข้ามาเพื่อต่อยอดและตอบโจทย์การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกี่ยวกับ กัญชง เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯมียอดออเดอร์การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่สกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีการทยอยส่งมอบให้กับลูกค้าบางส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

ขณะเดียวกัน เตรียมขยายไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบ เจล และ เจลลี่ ที่มีความนิยมค่อนข้างมากในประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมที่มากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาสูตรพัฒนาแพคเกจจิ้ง ร่วมกับลูกค้า โดยคาดว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์ได้ในไตรมาส 2/2565

 

ส่วนงบลงทุนอีก 100 ล้านบาท เตรียมนำไปขยายการลงทุนเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการด้านสกัดให้มีขีดความสามารถในการสกัดสารออกมาให้เพิ่มขึ้น 

 

นอกจากนี้ ยังได้เจรากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตจากต่างประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ ที่มีความต้องการที่จะเข้ามาขยายธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างฐานการผลิตด้านการสกัดสาร สำหรับรองการขยายตลาดไปในภูมิภาค โดยมองทั้งการร่วมลงทุน และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) ซึ่งคาดว่าจะชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565

 

“ตั้งแต่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา จนฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภค DOD เริ่มมีการวางแผนในการปรับโครงการธุรกิจใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ จึงหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อย 2 แห่ง ประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอาง และธุรกิจเครือข่าย (บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด / บริษัท อัลทิมา ไลฟ์ จำกัด)  เพื่อหยุดการขาดทุนต่อเนื่อง และเพิ่มไลน์ธุรกิจเกี่ยวกับโรงสกัด เพื่อเน้นสารสกัดจากกัญชง พืชกระท่อม และพืชสมุนไพรไทย (บริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด) เพื่อให้ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจหลักแทน 

 

ซึ่งการดำเนินกลยุทธ์ Backward Integration จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทได้อย่างมั่นคง โดยจะผลักดันให้ DOD ก้าวสู่ New S-curve เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในการเติบโตครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อให้สอดรับการปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน ” 

 

ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน DOD กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงจากโรคระบาดไวรัส COVID-19 จนส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2564 ทำให้มีรายได้จากการขายจำนวน 1,015.32 ล้านบาท ลดลง 5.76% และกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 307.78 ล้านบาท ลดลง 13.11% จากปีก่อน 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมีกำไรสำหรับปีจากการดำเนินงานต่อเนื่องลดลงจาก 290.78 ล้านบาท เป็น 233.11 ล้านบาท คิดเป็น 19.83% แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบาง ทำให้บริษัทได้ประเมินความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงเห็นควรว่าต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อย 2 แห่งดังกล่าวข้างต้น

 

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้กำไรส่วนของบริษัทใหญ่ลดลง 49.79 ล้านบาท หรือลดลง 64.75% จากปีก่อน โดยบริษัทเล็งเห็นว่า การปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต  

 

สำหรับฐานะทางการเงินของบริษัทยังมีสภาพคล่องและความมั่นคงทางการเงินในระดับที่แข็งแกร่ง พิจารณาได้จากอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) เท่ากับ 2.42 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) เท่ากับ 0.29 เท่า

 


 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com