บมจ. เอสซีจี เคมิคอลส์ นำทัพผู้บริหารประกาศแผนระดมทุนเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ หนุนฐานะการเงินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เปิดแผน IPO จำนวนกว่า 3.8 ล้านหุ้น พร้อมนำเงินคืนหนี้ลด D:E ต่ำกว่า 1 เท่า และที่เหลือขยายธุรกิจ เดินหน้าลงทุนเพิ่มศักยภาพฐานการผลิต 3 ประเทศ ทั้งไทย-เวียดนาม-อินโดนีเซีย มูลค่าหลักแสนล้านบาทขึ้นไป เผยความคืบหน้าโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมีในเวียดนาม หนุนกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นจาก 6.9 ล้านตันต่อปี เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี พร้อมขยายโครงการ CAP 2 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในอินโดนีเซีย
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยถึง การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า จะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับแผนงานขยายธุรกิจที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนและเตรียมแผนการขยายเพิ่มเติมทั้งในเวียดนาม และอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ SCGC มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3,854,685,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25.2 ของทุนชำระแล้วของ SCGC สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 SCGC มีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 27,068 ล้านบาท
นายกุลเชฎฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวเพิ่เมติมว่า ความคืบหน้าการนำบริษัทยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลแบบไฟลิ่งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ มีแผนใช้เงินทั้งระยะสั้นจนถึงระยะยาว โดยระยะสั้นจะเป็นการคืนหนี้เงินกู้แก่บริษัทแม่ คือ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (หุ้น SCC) ซึ่งได้กู้ยืมมาลงทุนในโครงการ LSP เวียดนาม มูลค่าลงทุน 1.6-1.7 แสนล้านบาท ส่วนแผนใช้เงินระยะกลางถึงระยะยาว จะเป็นการใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจ รวมถึงขยายกำลังการผลิต การพัฒนาศักยภาพของ SCGC และบริษัทย่อยของ SCGC (Organic) การจัดตั้งบริษัท การเข้าซื้อกิจการ รวมถึงทรัพย์สินอื่น (Inorganic) และ/หรือการลงทุนเพื่อบำรุงรักษา (Maintenance) และการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
"หลังการระดมทุนครั้งนี้ จะทำให้ D:E (สัดส่วนหนี้สินต่อทุน) ของเราจะลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1 เท่า นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ เราได้มีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ไปด้วย 3 หมื่นล้านบาท"นายกุลเชฎฐ์ กล่าว
นายธนวงษ์ ได้กล่าวถึง วิสัยทัศน์ SCGC ที่จะเป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาค ที่มุ่งสร้างการเติบโตแก่ธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน ภายใต้หลักดำเนินการสำคัญ 3 ประการ คือ (1) มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าและผู้บริโภคด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ (2) มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และ (3) ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน SCGC จัดจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ณ เดือนธันวาคม 2564) 19% หรือเกือบ 1 ใน 5
“หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ SCGC คือ การมีฐานผลิตใน 3 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งมีประชากรรวมกันประมาณ 440 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในอาเซียน มีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21 % โดยประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก ส่วนในอินโดนีเซียเป็นการลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) และในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมี (Long Son Petrochemical Complex) ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นรายแรกที่เข้าไปลงทุน (first mover) " นายธนวงษ์กล่าว
ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 5–6% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว นอกจากนี้ อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน (ณ 31 ธันวาคม 2564) อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ประมาณ 75% และอินโดนีเซียประมาณ 50% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ LSP ในเวียดนาม ขณะนี้การก่อสร้างเดินหน้าไปตามแผน คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี โดยได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินเครื่องจักร เช่น การเตรียมสัญญาซื้อขายวัตถุดิบในระยะยาว การทำตลาดล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการจำหน่าย เป็นต้น โดยโครงการดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในรูปแบบ Flexible Cracker สามารถเลือกวัตถุดิบที่หลากหลายเข้ามาใช้ในการผลิตได้มากขึ้น และมีที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และคาดว่าปีนี้จะมีการใช้เงินลงทุนอีกราว 50,000 ล้านบาท และยังมีแผนที่จะขยายไปโครงการ LSP เฟส 2 เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันโครงการ LSP เฟส 1 ช่วยทดแทนการนำเข้ายังไม่ถึง 30% ทำให้ยังต้องนำเข้าอีก 70% ซึ่งในปีต่อไป หากโครงการ LSP เฟส 2 เกิดขึ้นจะช่วยตอบโจทย์ทดแทนการนำเข้าได้
สำหรับโรงงานผลิตที่อินโดนีเซียซึ่งก็มีแผนขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนราวปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า โดยจะใช้เงินลงทุนราว 1 แสนล้านบาท
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และธุรกิจของ SCGC ถือว่ามีศักยภาพและโอกาสการเติบโตทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์จะถูกขับเคลื่อน และได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ที่สำคัญ ๆ ของโลกและภูมิภาคอาเซียน เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เนื่องจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด และการดูแลรักษาสุขภาพ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการความต้องการใช้เคมีภัณฑ์ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของ SCGC ที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) รวมไปถึงการพัฒนา Green Innovation เช่น พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้าน Low Carbon โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีสัดส่วนสินค้า HVA คิดเป็นประมาณ 36% ของรายได้รวมของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังจะขยายสินค้าในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer เป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573
สำหรับพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer ได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Reduce, Recyclable, Recycle และ Renewable เช่น การพัฒนา SMX Technology ทำให้เม็ดพลาสติกแข็งแรงทนทานขึ้น 20% สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในการผลิต การพัฒนาเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin : PCR) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระบบการตรวจสอบย้อนกลับสากล โดยร่วมกับเจ้าของแบรนด์สินค้าชั้นนำหลายราย เป็นต้น
“นวัตกรรมเคมีภัณฑ์อยู่รอบตัวและเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของทุกคน โดยบริษัทฯ ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับลูกค้า เพื่อนำไปผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภคปลายทาง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น กล่องใส่อาหาร กล่องนม ฝาขวดน้ำดื่มและน้ำอัดลม หน้ากากอนามัย เป็นต้น และการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ พลาสติกสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติกทางการแพทย์ และ พลาสติกเพื่องานโครงสร้าง เช่น ท่อทนแรงดันสูง PE 112 สำหรับส่งก๊าซหรือน้ำประปา ฯลฯ
นายธนวงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ตลอดซัพพลายเชน โดยนำ Data Technology หรือเทคโนโลยีด้านข้อมูล มารวมกับ Operational Technology หรือเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับ Operational Excellence ไปอีกขั้น อีกทั้งการนำระบบแมชชีน เลิร์นนิ่ง มาใช้เพื่อคาดการณ์ราคาวัตถุดิบ การใช้ Optimization Model เพื่อใช้ในการตัดสินใจเดินเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบ Realtime Performance Management เพื่อให้เห็นข้อมูลการเดินเครื่องจักรอย่างรวดเร็วสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงระบบ Digital Reliability Platform (DRP) ช่วยดูแลการบริหารจัดการประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้สามารถเดินเครื่องจักรได้ดี บำรุงรักษาเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบ Digital Commerce Platform (DCP) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและทำให้ตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
"แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม โดย SCGC เชื่อมั่นว่า ความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมไปถึงการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ ESG รวมทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม PVC ฯลฯ จะทำให้บริษัทฯ ก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว" นายธนวงษ์กล่าว