บล.ไอร่า มองหุ้นไทยเดือนสิงหา ได้เวลารีบาวด์ ให้กรอบเคลื่อนไหว  1,550 - 1,625 จุด หลังคลายกังวลนโยบายเฟด ประกอบกับเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาแข็งค่า เผยกลยุทธิ์ลงทุนกลุ่มแบงก์-ชิ้นส่วนฯ หุ้นทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ พร้อมแนะ 4 หุ้นที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว BANPU - CK- KBANK - ORI

บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคม 65 มีแนวโน้ม "รีบาวด์" ในกรอบ 1,550 - 1,625 จุด คาดตลาดจะเริ่มคลายความกังวลลงบ้าง กับการคุมเข้มนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) หลัง GDP ไตรมาส2/65 ของสหรัฐออกมา -0.9%เมื่อเทียบไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม คาดตลาดจะให้ความสนใจไปกับการรายงานตัวเลข CPI เดือน ก.ค. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญของ FED ในวันที่ 10 ส.ค. อย่างใกล้ชิด คาดมีโอกาสออกมาชะลอตัวลงจากเดือน มิ.ย. ที่ระดับ 9.1%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังราคาพลังงานเริ่มชะลอตัวลงในเดือน ก.ค. คาดเป็นปัจจัยหลักกระตุ้นความคาดหวังว่าสหรัฐผ่านจุดสูงสุดของเงินเฟ้อไปแล้วเมื่อเดือน มิ.ย. คาดช่วยหนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวกลับขึ้นได้

อีกทั้งมองทิศทางดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสอ่อนตัวลง หลัง Dollar Index ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 109.3 ในเดือน ก.ค. และเริ่มอ่อนตัวลงบ้างแล้ว คาดหนุนทิศทางค่าเงินในภูมิภาค รวมถึงค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้ในระยะถัดไป ช่วยหนุนความน่าสนใจให้นักลงทุนต่างชาติซื้อกลับตลาดในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ 

โดยยังแนะนำติดตาม (1) ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน ประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน หลังมีรายงาน นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เตรียมเดินทางเยือนไต้หวันอาจกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ให้ล่าช้าออกไปได้บ้าง เป็นจิตวิทยาเชิงลบจำกัด Upside การฟื้นตัวของตลาดในภูมิภาคได้บ้าง

(2) การประชุม กนง. ในวันที่ 24 ส.ค. นี้ คาดพิจารณาขึ้นอั ตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25-0.50% จากเศรษฐกิจเริ่มมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการเร่งตัวขึ้นของอั ตราเงินเฟ้อ รวมทั้งเงินบาทที่ยังอ่อนค่าอยู่ในระดับสูง มองอาจเป็น Sentiment เชิงลบได้บ้างในระยะสั้น แต่คาดจะช่วยลดแรงกดดันในแง่การอ่อนค่าของค่าเงินบาท หนุนทิศทางกระแสเงินทุนไหลกลับได้

เรายังคงแนะนำหุ้นในธีมที่มีปัจจัยเด่นสามารถทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้

1. หุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB, BBL และ TTB) เรายังชอบหุ้นในกลุ่มธนาคารหลังผลประกอบการไตรมาส2/65 ออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าที่ตลาดคาด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ขณะที่แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ในช่วงเดือน ส.ค. คาดจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารฟื้นตัวขึ้นได้ต่อ

2. หุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, HANA, SVI, SMT และ CCET) คาดอาจเห็นแรงเก็งกำไรผลประกอบการ ไตรมาส2/65 มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง ตามผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มบางตัวที่รายงานออกมาแล้ว ขณะที่คาดว่าความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างสหรัฐ-จีน จะเป็นปัจจัยให้สหรัฐลดทอนการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ – เซมิคอนดักเตอร์ จากจีน มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกหนุนทิศทางราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้

ทั้งนี้ ยังมีหุ้นที่มีประเด็นความน่าสนใจเฉพาะตัว ประจำเดือน ส.ค. 65 ได้แก่ 

BANPU ผลการดำเนินงานมั่นคง สามารถจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง คาดเงินปันผลทั้งปี 65 ที่ 0.80 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.0% ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 อยู่ที่ 16.00 บาท 

CK ยังแนะนำ "ซื้อ" สำหรับการลงทุนในระยะกลาง – ยาว ราคาเป้าหมาย 23.80 บาท ภายใต้ Backlog ที่กลับมาโดดเด่นช่วงครึ่งหลังของปี 65 คาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท พร้อมจุดเด่นจากบริษัทที่ร่วมลงทุนทั้งจากการได้รับงานก่อสร้าง เงินปันผล และกำไรจากการขายเงินลงทุน ขณะที่งานส่วนใหญ่ของ CK เป็นงานที่มีค่า K คาดช่วยลดความเสี่ยงได้บ้างจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น  

KBANK เร่ง Clean up NPL โดย KBANK เลือกที่จะจัดการปัญหา NPL โดยการเร่งจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพ จากการปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดเก็บหนี้จากเดิมเน้นบริหารด้วยตัวเองไปเป็นการขายเข้า JK AMC มากขึ้น และจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 จะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Bank ประเมินราคาเป้าหมายที่ 185.00 บาท

ORI คาดกำไรสุทธิ และ Presale มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง จากการเร่งเปิด 31 โครงการใหม่ ตามแผนทั้งปี มูลค่ารวม 42.0 พันล้านบาท โดย Bloomberg consensus คาดรายได้ และกำไรปี 65 ที่ 15.15 พันล้านบาท (+11%) และ 3.58 พันล้านบาท (+12%)
ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ให้ราคาเป้าหมายที่ 13.40 บาท