หุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการออกมา คาด 13 บริษัทจะมีกำไรรวมกัน 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 73%เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากเทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดว่าจะลดลง 32% มอง TOP-BCP-SCC โดดเด่น
หุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/64 กันไปบ้างแล้ว มีทั้งกำไรเพิ่มขึ้น และลดลง นำโดยตปท.สผ. มีกำไร 9,545.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32.5%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ปูนซีเมนต์ไทย กำไร 6,817.06 ล้านบาท ลดลง 30%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งในมุมมองของโบรกเกอร์คาดการณ์โดยรวม น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า
โดยในมุมมองของ บล.หยวนต้า ได้คาดการณ์ผลประกอบการ 13 บริษัท ในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี คาดว่าจะมีกำไรในไตรมาส 3/64 รวมกัน 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 73%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ปีเดียวกัน คาดว่ากำไรจะลดลง 32% ปัจจัยที่กดดันให้กำไรลดลง มาจาก
1) มาตรการควบคุมแพร่ระบาดรอบใหม่ กดดันความต้องการใช้ในประเทศ
2) อัตรากำไรธุรกิจโรงกลั่น–ปิโตรเคมีลดลง เพราะต้นทุนวัตถุดิบ และส่วนเพิ่มของราคาน้ำมันดิบ( Crude premium) ที่สูงขึ้น ปัญหาการผลิตปิโตรเคมีช่วงต้นปีคลี่คลาย และกำลังผลิตใหม่ทยอยเข้าสู่ตลาด
3) กำไรจากสต็อกน้ำมันลดลงจากไตรมาสก่อน
4) ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นจากเงินบาทอ่อนค่า
จาก 4 ปัจจัยที่ว่านี้ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มฯ ส่วนใหญ่จะมีกำไรสุทธิลดลง เมื่อเทียบต่อไตรมาส ยกเว้น หุ้นพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP BANPU ที่ได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ เพราะความต้องการใช้ในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกที่ฟื้นตัว
ขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้นอย่างจำกัดจากปัญหาภัยธรรมชาติ, การลงทุนผลิตที่ต่ำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา , และการมุ่งเน้นพลังงานสะอาด รวมทั้งหุ้น TOP BCP ที่ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น การบริหาร จัดการซื้อน้ำมันดิบ และการผลิตน้ำมัน ประเภสินค้าเฉพาะกลุ่ม( Niche product) ทำให้ค่าการกลั่น -อัตราการผลิตทำได้ดีกว่าคู่แข่ง
สถานการณ์ขาดแคลนอุปทานก๊าซธรรมชาติ – ถ่านหินในหลายประเทศ นอกจากจะเป็นปัจจัยหนุนราคา ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันดิบ – น้ำมันสำเร็จรูป เพราะเกิดความต้องการใช้ทดแทน ผสานการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุม ทำให้ผลประกอบการไตรมาส4/64 ของกลุ่มฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มต้นน้ำจะอยู่ในเกณฑ์ดี
อย่างไรก็ตาม ยังมองปัจจัยดังกล่าวเป็นประเด็นบวก ระยะสั้น เพราะตลาดจะเริ่มปรับสมดุล หลังอุปสงค์อ่อนตัวเมื่อผ่านฤดูหนาว และอุปทานในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเชิงนโยบายของภาครัฐที่อาจทำให้ราคาสินค้าพลังงานผันผวน เช่น การระบายสินค้าคงคลัง เพิ่มอุปทานเข้าสู่ตลาดได้ในระยะสั้น, การสนับสนุนเพิ่มปริมาณผลิต, และการแทรกแซงราคา
สำหรับปี 2565 แม้ประเมินว่าผลการดำเนินงานหลักจะขยายตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากกลุ่มโรงกลั่น แต่ในด้านกำไร สุทธิคาดทำได้ 2.9 แสนล้านบาท ลดลง 5%เมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจาก
1) ทิศทางราคาพลังงาน (น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซ ธรรมชาติ) ลดลงจากช่วงปลายปี 2564 ทำให้กำไรสต็อกน้ำมันจำนวนมากในปีนี้ไม่เกิดขึ้นอีก
2) ผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีจะถูกกดดันจากอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาด
3) แรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดหลังการประชุม COP26
จากปัจจัยข้างต้น ระยะสั้นหุ้นพลังงานจะมีความผันผวนจากมาตรการแทรกแซงของภาครัฐ และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่ปี 2565 การลงทุนจะถูกถ่วงด้วยทิศทางราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง ทั้งนี้ สำหรับการ ลงทุนระยะกลาง บล.หยวนต้ามองว่า
1) หุ้นโรงกลั่น TOP BCP ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการเดินทาง - ท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้อัตราการผลิต - ค่าการกลั่นสูงขึ้น รวมทั้งมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดย TOP มี Valuation ไม่แพง และ BCP มีจุดเด่นจากการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด - การ Spin off BBGI
2) การปรับสมดุลของตลาดพลังงานในปีหน้า จะทำให้ราคาพลังงานอ่อนตัวลงสู่ระดับปกติ เป็นบวกต่อหุ้นที่ใช้พลังงานเป็นวัตถุดิบการผลิต เช่น SCC
---------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1