'อัสสเดช' ปลุกคงามเชื่อมั่นนักลงทุน เกาะติดสถานการใกล้ชิด เผยบอร์ด ตลท. พร้อมปรับใช้มาตรการตามสถานการณ์หลังมาตรการฯชั่วคราวหมดลง 11 เม.ย. นี้ ชี้หุ้นไทยปรับลงค่อนข้างนิ่งแล้ว ชี้ผลกระทบภาษีทรัมมีทั้งกลุ่มอุตฯ ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ย้ำขอให้นักลงทุนติดตามข้อมูลวิเคราะห์ดีก่อนตัดสินใจ
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึง มาตรการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor, Dynamic Price Band และห้ามขายชอร์ต เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 11 เม.ย. ว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ฯ (บอร์ด) ได้หารือกันอยู่ตลอดเพื่อวิเคราะห์ถึงผลของมาตรการฯ ดังกล่าวและประเมินสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า ว่าจะผ่อนคลายหรือเพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกวัน ขณะที่บอร์ดก็พร้อมที่จะร่วมประชุมหากจำเป็นเพื่อตัดสินใจอย่างรวดเร็วส่วนจะมีมาตรการเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ภายใต้อำนาจของตลาดหลักทรัพย์ ยังพอมีมาตรการที่จะทำได้อยู่บ้าง ซึ่งจะพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ อย่างไร ก็ตามมาตรการที่ใช้ในปัจจุบันมีความเพียงพอแล้ว ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“อย่างเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผ(7 เม.ย.) ก่อนที่ตลาดฯจะประกาศเกณฑ์ชั่วคราว บอร์ดก็มีพูดคุยถึงแนวทางปรับลด Circuit Breaker แต่จากการหารือการใช้ Circuit Breaker ที่ปรับมาแล้วตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเห็นว่าการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor 15% เป็นมาตรการที่ช่วยลดแรงกระแทกไม่ให้ถึง เกณฑ์ Circuit Breaker ได้ระดับหนึ่ง ส่วนห้ามขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าช่วยได้มากน้อยแค่ไหน หลักการที่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้เพื่อไม่ให้ดัชนีปรับตัวลงเร็วเกินไป คิดว่าสำหรับ 4 วันที่มีการบังคับใช้มาตรการนี้ มีความเหมาะสมมาก แต่อนาคตถ้าภาวะตลาดกลับมาปกติ การขายชอร์ตก็เป็นประโยชน์ ในการรักษาเสถียรภาพของราคาที่ตลาดไทยควรจะมี“
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนภายใต้สถานการณ์ที่มีเรื่องลบมากกว่าบวก นายอัสเดชกล่าวว่า อยากให้นักลงทุนทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีและที่สำคัญต้องเป็นข้อมูลที่จริงด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐบอกจะเลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นบวกทันที แต่เมื่อมีการออกมาปฏิเสธว่าเป็นข่าวไม่จริง ทำให้ตลาดปรับตัวลดลงทันทีเช่นกัน จึงอยากเตือนให้นักลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง เพราะตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ในไทยอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ นักลงทุนต้องมีสติก่อนตัดสินใจใดๆ อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ข้อดีของตลาดหุ้นไทยคือ การปรับตัวค่อนข้างนิ่ง หลังจากก่อนหน้านั้ได้ปรับตัวลดลงมามากแล้ว ถ้าดูจากตอนเกิดแผ่นดินไหว ข่าวนี้กระทบตลาดไทยค่อนข้างน้อย แปลว่า นักลงทุนเชื่อมั่นว่าภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจไทยยังแข็งแรง และอาจโตได้มากกว่านี้ ทำให้การปรับตัวลดลง (downside) มีค่อนข้างน้อย เพราะ ฉะนั้นนักลงทุนต้องกลับมาวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดี ซึ่งขณะนี้ท่าทีของรัฐบาลก็เตรียมพร้อมที่จะเจรจากับทางสหรัฐ หากเจรจาสำเร็จ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะเป็นตัวพลิกให้ไทยกลับมาดี“
สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้า กระทบต่อเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำนั้น นายอัสเดช กล่าวว่า จริงๆต้องดูเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมว่ากลุ่มไหนที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ จากมาตรการภาษีต่างๆที่ออกมารวมถึงกรณีของการเกิดแผ่นดินไหวในไทยด้วย อย่างไรก็ตามในด้านของนักท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เพราะฉะนั้นกลับมาที่เรื่องของการติดตามดูข้อมูลวิเคราะห์ต่างๆให้ดี ซึ่งทีมวิเคราะห์ของตลาดหลักทรัพย์ได้ประเมินผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ค่อนข้างน้อย เนื่องจาก บจ.ที่มีรายได้มาจากสหรัฐมีเพียง 2% ของรายได้รวมทั้งตลาด แต่ผลกระทบทางอ้อม ยังประเมินได้ยาก เพราะไทยเป็นคู่ค้ากับจีนค่อนข้างมาก เป็นประเด็นที่ต้องวิเคราะห์อีกมาก เพราะฉะนั้นจะต้องคอยติดตามว่าอุตสาหกรรมใดได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ที่สำคัญสามารถปรับตัวได้รวดเร็วในสถานการณ์ที่ผันผวน