Market

ผู้จัดการ ตลท. ชี้ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอน  หวั่นผลเจรจาเก็บภาษี 36% ฉุดกำไรบจ.  เสี่ยงกดตลาดแย่กว่าครึ่งปีแรก
9 มิ.ย. 2568

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ชี้ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอน  ลุ้นผลเจรจาการค้าสหรัฐ-ไทย  หวั่นเก็บภาษี 36% ฉุดกำไรบจ.  เสี่ยงกดตลาดแย่กว่าครึ่งปีแรก แต่ย้ำว่าหุ้นไทยยังมีจุดเด่น “ผลตอบแทนเงินปันผลสูง”ในตลาดภูมิภาคนี้ พร้อมคาดหวังเงินต่างชาติจะไหลจากบอนด์เข้าหุ้นไทยบ้าง

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามภาษีการค้าของสหรัฐ  และต้องรอดูผลเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทย เรื่องอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff)ที่เก็บไทย 36%  ออกมาอย่างไร และถ้าดู ปัจจัยพื้นฐาน ทางเศรษฐกิจ ในประเทศไทย ยังอยู่ระดับทรงตัวขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังมองว่าประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย (safe haven)  จึงไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ (Bond Market) เยอะ และคาดว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นบ้าง  เพราะยังมีจุดเด่นเรื่องอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้  อย่างไรก็ตาม  ถ้าหากผลเจรจาออกมาเชิงลบก็มีโอกาสน้อยที่ตลาดจะปรับตัวดีกว่าครึ่งปีแรก  ในกรณีแย่สุด ผลเจรจาแล้วสหรัฐยังเก็บอัตราภาษีตอบโต้ 36% กับไทย   จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทย ลดลง 1%  และกำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะน้อยลง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย  แต่กรณีผลเจรจาออกมาในทางบวกก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่จะพุ่งทะยานหรือไม่ คงยังต้องรอติดตามสถานการณ์กันต่อไป

 

“ ทิศทางตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง เดายาก เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปลี่ยนใจทุกวัน แต่พื้นฐานเศรษฐกิจเราทรงตัว ขณะที่ตลาดหุ้นราคาสวิงแคบขึ้น รวมทั้งตลาดเรามีจุดเด่นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในเอเซีย  ตอนนี้ต่างชาติมองไทยเป็น safe haven ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดบอนด์ ซึ่งก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เขาโยกเงินจากตลาดบอนด์เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเรา “

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ  จากที่ตลท. ได้ไปโรดโชว์ร่วมกับบริษัทจดทะเบียน 6-7 แห่งและตัวแทนของรัฐบาลเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันบริหารกองทุนรวม 20 กองทุน ในช่วงที่ผ่านมา  โดยรัฐบาลได้นำเสนอเกี่ยวกับแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของประเทศไทย ที่มีหลายๆโครงการ นักลงทุนต่างชาติมองว่าการลงทุนดังกล่าว นับว่าเป็นบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย  แต่อยากรอดูก่อนว่า รัฐบาลได้ลงทุนโครงการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวและจะพยุงเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองหาโอกาสลงทุนในตลาดที่สร้างมูลค่าผลตอบแทนได้มากกว่า

 

สำหรับกรณี MSCI  ได้มีการปรับลดน้ำหนักตชาดหุ้นไทย เนื่องจากมีการถอดหุ้นไทย 3 บริษัท เนื่องจากสภาพคล่องของหุ้นอยู่ระดับต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด   ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันต้องขายหุ้นไทยออกมามาก เพื่อ Rebalancing พอร์ตลงทุนนั้น ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการเจรจากับ MSCI เพื่อจะมองหาช่องทางที่จะให้เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยกลับมา ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์พยายามที่จะเดินหน้าเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทยทุกรูปแบบ โดยเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ 

 

นอกจากนี้ในวันที่ 26 มิ.ย. นี้ ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดตัวโครงการ Jump+ อย่างเป็นทางการ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับ ความสนใจจากบริษัทจดทะเบียนมาเข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง  โดยปีนี้ 

ตั้งเป้าบริษัทจดทะเบียนจะเข้าร่วม 50-100 บริษัท และจะเพิ่มขึ้นในปีถัดๆไป  สำหรับโครงการ Jump+ จะใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ บจ.มีการลงทุน ลดค่าใช้จ่าย มุ่งเน้นเพิ่มกำไร และเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้น (ROE)  ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศกำลังรอติดตามตัวโครงการนี้ 

 

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤษภาคม 2568 ว่า ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ปรับลดลง 17.9% เนื่องจากความผันผวนจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศยังคงรบกวนบรรยากาศการลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะกลางผู้ลงทุนอาจหันมาสนใจกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นผลตอบแทนที่มั่นคงจากเงินปันผล ที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายปันผลที่ค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอ โดยหากกระจายหุ้นในพอร์ตโฟลิโอไปในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะยิ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในยามที่ความไม่แน่นอนสูงอีกด้วย

 

 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเทคโนโลยี

 

-มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ maiอยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9.9% โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท และยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance ที่มีด้วยกันสองรอบต่อปีในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ 

 

- Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 13.7 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.6 เท่า

 

-อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34%

 

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤษภาคม 2568  มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 356,872 สัญญา ลดลง 17.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 437,620 สัญญา ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

 

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักๆที่มีผลต่อตลาดหุ้น ในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มเห็นพัฒนาการด้านการเจรจาการค้าโดยสหรัฐฯ และจีนได้เห็นพ้องที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน ทำให้ผู้ลงทุนคลายความกังวลจากสงครามการค้าและเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายลดภาษีและการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “One Big Beautiful Bill” ซึ่งมีบางมาตราอาจกระทบกับการจัดเก็บภาษีผู้ลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 
ไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัว 3.1% จากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นจากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 โดยภาพรวมมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม นอกจากนี้ บจ. กว่าครึ่งรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากการรับได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาสล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com