นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2566 เปิดเผยถึงทิศทางการบริหารงานในปี 2566 ว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาผลขาดทุนสะสมเยอะ  และกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นพนักงาน และผู้ใช้บริการลดลง  ปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การเจรจากับเจ้าหนี้ต่างๆอย่างต่อเนื่อง การลดต้นทุนดำเนินงานรวมถึงการลดพนักงานออกไปจำนวนมาก ทำให้สถานการณ์บริษัทกลับมาอยู่รอดได้แล้วในเวลานี้และประเมินว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้เร็วกว่ากำหนดเดิมในปลายปี 2567 โดยแผนฟื้นฟูซึ่งกำหนดเกณฑ์ของการยื่นขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการที่ระบุว่า มี EBITDA (กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา) และหักลบค่าเช่าและเงินสด ย้อนหลัง 12 เดือน คงเหลือมากกว่า2 หมื่นล้านบาท

“การบินไทยได้ดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดแล้ว 70%  ยังเหลือการจัดหาเงินทุนใหม่ผ่านสินเชื่อวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท การแปลงหนี้เป็นทุน และการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม หากกระทรวงการคลังใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนและซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะทำให้มีสัดส่วนถือหุ้น 33% ส่วนหน่วยงานรัฐอื่นจะมี 10% โดยเป้าหมายระยะสั้นจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ถือหุ้น และ Stakeholders (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) และหากในปีนี้ หากการบินไทยสามารถทำผลดำเนินงานได้ดี มี EBITDA (กำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา)เป็นบวกกว่า 2หมื่นล้านบาทขึ้นไป ก็จะออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็ว และกลับเข้าไปเทรดในตลาดหลักทรัพย์ได้เร็วกว่าแผนที่คาดไว้ในปี 2568”

สำหรับการจัดหาเงินทุนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 1.25 หมื่นล้านบาทเป็นการขอสินเชื่อแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และอีกส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อรองรับการชำระหนี้ที่ครบอายุ ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากับสถาบันการเงิน 2 แห่ง ทั้งนี้อยู่ระหว่างรอประเมินสถานการณ์ทางการเงินในปีนี้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน มีกระแสเงินสดหมุนเวียนราว 3.5หมื่นล้านบาทหากในช่วงกลางปีนี้ ผลดำเนินงานออกมาเป็นบวกต่อเนื่อง อาจยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาเงินทุนใหม่หรืออาจใช้วงเงินกู้เพียง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

นาชาย กล่าวว่า ผลประกอบการที่ฟื้นกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการเปิดประเทศเมื่อกลางปี 2565 ส่งผลให้ผลดำเนินงานปี 2565 อยู่ในระดับที่ดีกว่าที่แผนฟื้นฟูฯ คาดไว้ขาดทุนราว6 พันล้านบาท  ส่วนรายได้คาดไว้ 9 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้จะเติบโตกว่า40% เทียบจากปี 2565  ภายใต้คาดการณ์อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยเกือบ80% และจำนวนที่นั่ง (capacity) เพิ่มขึ้น 50% โดยปัจจุบันมีเครื่องบินเดิมที่ใช้งานจำนวน 41 ลำและนำเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิ้ง 777-200 ER จำนวน 8 ลำ กลับมาบินให้บริการ รวมเป็น 49 ลำ และจะมีการรับมอบเครื่องบินจากการเช่าดำเนินการเพิ่ม 6 ลำ คือ แอร์บัส A350 เริ่มทยอยรับมอบในเดือน เม.ย.-มิ.ย.นี้ รวมทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจาเช่าเพิ่มอีก 3 ลำ คาดว่าจะรับมอบได้ในช่วงสิ้นปี 2566 หรืออย่างช้าต้นปี 2567 จะทำให้มีฝูงบินรวม 58 ลำ  นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมทำแผนจัดหาเครื่องบินระยะยาว เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจหลังออกจากแผนฟื้นฟูในช่วงปี 2569

สำหรับการขายเครื่องบินเก่าในปีนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาขายเครื่องบิน จำนวน 22 ลำได้แก่ เครื่องบินโบอิ้ง 777 300 ER 6 ลำ โบอิ้ง 777 200 ER 6 ลำ โบอิ้ง 340 จำนวน 4 ลำ และโบอิ้ง 360 จำนวน 6 ล

00000