แนวโน้มตลาดวันนี้ (14 ส.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มองตลาดจะเแกว่งตัวไซด์เวย์/ปรับตัวขึ้นสัญญาณ Fund Flow ยังไหลเข้า หากไม่รวม Big Lot หุ้น TIDLOR วานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท และยังซื้อสุทธิในอินโดนีเซียรวมถึงฟิลิปปินส์ การลดดอกเบี้ยของ กนง. เป็นปัจจัยหนุน ทั้งนี้ด้านเทคนิคมีแนวต้าน 1282 จุดหากยืนเหนือได้จะกลับมาขึ้นต่อมีแนวต้านถัดไปที่ 1290/1300 แนวรับประเมินที่ 1260/1250 จุดการพักฐานสั้นไม่ควรหลุดต่ำกว่า
ประเด็นสำคัญ
• กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ 1.50% โดยมองนโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อให้เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากราคาพลังงานและอาหารสด แม้เงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวตามราคาสินค้า-บริการที่ไม่ปรับลงชัดเจน การลดดอกเบี้ยเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ MTC TIDLOR อสังหาริมทรัพย์ AP SIRI โรงไฟฟ้า BCPG BGRIM GPSC
• ศาล รธน. มีคำสั่งในคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ และสมเด็จฮุนเซ็นกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชากำหนดให้นัดไต่สวนพยานบุคคล 2 ราย ซึ่งรวมถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 21 ส.ค. นี้ และศาล รธน. จะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 15:00 น. เป็นต้นไป
• IEA เพิ่มคาดการณ์เติบโตอุปทานน้ำมันโลกปี 2568 เป็น +2.5MBD แต่ปรับคาดการณ์เติบโตอุปสงค์โลกลงสู่ 680kBD กดดันจากภาวะ ศก. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ และคาดตลาดน้ำมันมีแนวโน้มเกินดุลในปี 2569 สูงถึง +3MBD แตกต่างจาก OPEC ที่มองบวกต่ออุปสงค์น้ำมันที่แข็งแกร่งตามภาวะ ศก. ที่มีเสถียรภาพ
• แหล่งข่าวเผยว่าทีมงานของ ปธน. ทรัมป์กำลังพิจารณา 11 รายชื่อที่อาจได้รับคัดเลือกเป็นประธานเฟดคนต่อไปแทน เจอโรม พาวเวล ซึ่งจะสิ้นสุดวาระใน พ.ค. 2569 โดย รมต. คลัง สก็อตต์ เบสเซนท์ จะสัมภาษณ์บุคคลในรายชื่อดังกล่าว เพื่อคัดรายชื่อสุดท้ายส่งให้ ปธน. ตัดสินใจ
• รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้น ศก. ครั้งสำคัญผ่านการอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ให้ภาคประชาชนและธุรกิจ 8 กลุ่ม เพื่อลดต้นทุนและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ โดยผู้ที่เข้าเกณฑ์จะได้รับการอุดหนุนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา 1 pp ต่อปี
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสชะลอตัว โดยประเมินแนวต้านที่ 1280/1300 หลังดัชนีปรับขึ้นมายืนเหนือ 1250 จุด (PER 14 เท่า) ซึ่งสะท้อนการปลดล็อก Overhang จากปัญหาภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ แล้ว อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราภาษีที่ไทยได้รับที่ระดับ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งในอาเซียน ทำให้มองว่าไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันที่ดีในตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้ความเสี่ยงที่กดดันตลาดก่อนหน้านี้คลี่คลายลง ประกอบกับ ปีนี้ SET ปรับลง 10%YTD แย่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก จนทำให้ปัจจุบัน Valuation ของ SET < -1SD ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว จึงมอง Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะกลาง SET มีโอกาสกลับขึ้นไปซื้อขายกรอบบน PER ที่ระดับ 14-16 เท่า หรือ 1242-1419 จุด ดังนั้นมองการปรับหรือพักฐานระยะสั้นของ SET เป็นจังหวะซื้อ กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily Top Picks
CPALL: ราคาหุ้นได้แรงหนุนระยะสั้นจากผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด และยังถือเป็นหุ้น Laggard Play โดยปัจจุบันเทรดที่ PE ปี 2568 ราว 14.5 เท่า ต่ำสุดในกลุ่ม ขณะที่คาดกำไรปี 2568 โตเด่นราว 15% YoY มองว่า 2Q68 จะเป็นไตรมาสต่ำสุดของปี ก่อนฟื้นตัวในช่วงที่เหลือ ขณะที่โครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัด Downside
GULF: มีมีโอกาสได้แรงหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง กำไร 2H68 มีโอกาสโตต่อเนื่องจากโรงไฟฟ้าJackson (1,200MW, ถือ 49%) รับ Capacity Payment ใหม่ตั้งแต่ มิ.ย. จาก US$30 เป็น US$270/MW-day ส่วน Data Center 25MW มีลูกค้าเต็มเริ่มรับรู้รายได้ ส.ค. นี้ รวมถึงการทยอย COD โครงการ Solar และ Solar+BESS