EGCO อัปเดตเข้าลงทุนทางอ้อมในบ. APEX แล้วเสร็จ ชี้ APEX เป็นบริษัทใหญ่พัฒนาโครงการพลังงานสะอาดในสหรัฐ สร้างรายได้กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ กำลังผลิตไฟสูงถึง 1,100 กิกะวัตต์  หนุน EGCO เดินหน้าพัฒนาสู่โครงการพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมาย  โบรกเกอร์ชี้ไตรมาส 4 เข้าโลว์ซีซั่น ระวังเงินบาทอ่อนกดขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จํากัด (มหาชน) หรือ EGCO  แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องความคืบหน้ากรณีบริษัท เอ็กโก พลัส จํากัด (บริษัทย่อยที่ EGCO ถือหุ้นทั้งหมด) เข้าลงทุนทางอ้อมในบริษัท Apex Clean Energy Holdings, LLC หรือ “Apex”สัดส่วนร้อยละ 17.46  เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา  ว่า  ล่าสุด การร่วมลงทุนของกลุ่มเอ็กโกได้ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564

ทั้งนี้ ในการลงนามสัญญาขั้นสุดท้ายเพื่อลงทุนทางอ้อมระหว่างเอ็กโก พลัส กับ Apex  เป็นลักษณะผู้ลงทุนร่วมในบริษัทร่วมลงทุน ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานและพลังงานของ Ares Management Corporation (NTSE: ARES)  

สำหรับ Apex เป็นบริษัทชั้นนําด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างรายได้รวมกว่า10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2552 และขายโครงการพลังงานสะอาดให้กับกลุ่มลูกค้าในตลาดพาณิชย กรรมและอุตสาหกรรมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนนี้เป็นการลงทุนในบริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเป็น ครั้งแรกของกลุ่ม EGCO

การร่วมลงทุนใน Apex นับเป็นก้าวสําคัญที่จะทําให้กลุ่ม EGCO มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่โครงการใหม่อีกหลายโครงการ (อาทิ โครงการพลังงานลม พลังงาน แสงอาทิตย์ และระบบกักเก็บพลังงาน) ในตลาดพลังงานไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีกําลังผลิต ไฟฟ้าติดตั้งมากกว่า 1,100 กิกะวัตต์ และมีโอกาสในการขยายการลงทุนในด้านพลังงานหมุนเวียนในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการดําเนินธุรกิจของกลุ่ม EGCO “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” เพื่อบรรลุเป้ าหมายความเป็ นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับประชาคมโลกที่มุ่งหน้าสู่สังคมคาร์บอนต

สำหรับผลดำเนินงานสิ้นกันยายน 2564 ของ EGCO ณ งวดไตรมาส 3/2564 รายได้รวม 10,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 1,073 ล้านบาท ลดลง 13%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 2,267 ล้านบาท  ส่วนงวด 9 เดือน รายได้รวม 25.064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และกำไรสุทธิ 3,169 ล้านบาท ลดลง 54%จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร  6,929 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรลดลงเนื่องจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่า 

บล. เอเซีย เวลท์ คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 ของ EGCO น่าจะอ่อนตัวจากช่วงไตรมาส 3/2564 (QoQ) ตามฤดูกาล โดยความต้องการใช้ ไฟฟ้าเป็น Low season ซึ่งจะกระทบการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ IPP ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก อย่างไรก็ตามการรับรู้รายได้จาก XPCL ที่คาดว่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปริมาณน้ าไหล ผ่านโรงไฟฟ้า ที่มากกว่าปกติ จะยังเป็นปัจจัยที่ทำให้โครงการ XPCL ยังคงมีปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ 4Q64 เติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  (YoY)

จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ไว้ที่ 280 บาท โดยคาดว่กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2564 และปี 2565 ยังคงเพิ่มขึ้น 25%YoY และเพิ่มขึ้น 36.5%YoY ตามลำดับ การเติบโตของผลประกอบการที่ต่อเนื่องเป็นไปตามทิศทางของกำลังผลิตไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการที่จะทยอยเริ่มผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะในปี 2565 จึงยังคงมีมุมมองเป็นบวก

บล.เคจีไอ ประเมิน EGCO ไตรมาส 4 มีกำไรเพิ่มขึ้น YoY เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจาก XPCL ที่เพิ่มขึ้นเพราะผลจาก La Niña ที่จะยังคงอยู่ไปจนถึง 1Q65 Valuation & Action เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565 ที่ 314 บาท ทั้งนี้เนื่องจากคาดว่ากำไรจากธุุรกิจหลักของ EGCO ใน 4Q64F จะลดลง QoQ แต่เพิ่มขึ้น YoY เราจึงยังคงประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปีนี้ไว้ที่เท่าเดิม 9,561 ล้านบาท  และเติบโตต่อเนื่องในปี 2565F จากกกำลังการผลิตใหม่ 160MWe ของโครงการ Yunlin และ 161 MWe ของโครงการ NT1 ซึ่งมีกำหนด  COD ใน 2Q65 รวมถึงดีล M&A ใหม่ของ APEX ด้วย

อย่างไรก็ตาม EGCO มีความเสี่ยงจากความล่าช้าในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่, การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของทางการ , โรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้า, ความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการใหม่, ภาวะภัยแล้ง

บล.CGS คาดการณ์ไตรมาส 4 นี้ จะปรับตัวดีขึ้นจากการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าก๊าซ Linden (USA) ที่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่คาดว่าจะชะลอตัวลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเป็นช่วง low season ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ(NTPC และ XPCL ) หุ้น EGCO ยังมีมูลค่าซื้อขายไม่แพง ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดีในระดับ 3.9%-4.2% ในปี 2564-2566 จึงยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 220 บาท