รายงานพิเศษ ตอนที่ 2
เมื่อวาน คลับหุ้น ได้นำเสนอ ปฐมบทของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สัญญาสัมปทานฉบับแรก 30 ปี "BTSC" ผูกขาด กินรายได้แบบนิ่มๆ อย่างสวยหรู ยังไม่นับค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายจาก กทม. ที่ "BTSC"ประกาศทวงหนี้ปาวๆ ซึ่งว่ากันว่าการจ้างส่วนนี้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบมาพากล จนนำไปสู่มคิคณะกรรมการป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ อดีตผู้ว่ากทม.และพวก รวม 13 ราย ซึ่งมีชื่อ "นายคีรี กาญจนพาสน์" เจ้าาของ บีทีเอส รวมอยู่ด้วย
การเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และสายสีลม ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (กม.) ของ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ดำเนินงานมาถึงโค้งสุดท้ายของสัมปทาน นับแล้วเหลือเวลาอีกประมาณ 6 ปี ที่จะสามารถกอบโกยรายได้จากการให้บริการ โดยจะจบสัญญาลงในวันที่ 4 ธ.ค.2572
ขณะที่ส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และสายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) จ้าง “บีทีเอส” เดินรถ ยังคงเดินหน้าต่อไปจนกว่าสัญญาจะหมดในปี 2585
พูดถึงเรื่องส่วนต่อขยายแล้ว เริ่มมีกลิ่นตุๆ โชยมา โดยโครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2548 สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่ง กทม. เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเองทั้งหมด และจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที ซึ่งเป็นวิสาหกิจของ กทม. เป็นผู้จัดหารถมาวิ่ง
การจ้างครั้งนั้น ได้ทำการลงนามในสัญญาจ้างโครงการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2555 ระหว่างกรุงเทพมหานคร โดยนางนินนาท ชลิตานนท์ รองปลัด กทม. ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่า กทม. กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยนายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ และนายอมร กิจเชวงกุล กรรมการซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท จากนั้น “เคที” ก็ไปจ้าง “บีทีเอส” อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นความยินยอมจาก กทม.
ทั้งนี้ “เคที” ได้จรดปากกาลงนามในสัญญาจ้าง “บีทีเอส” ซึ่งได้สิทธิทั้งเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชน กทม.ทั้งหมด เป็นเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. 2555 จนถึงวันที่ 2 พ.ค. 2585 ทำให้การเดินรถของ “บีทีเอส” ครอบคลุมตั้งแต่เส้นทางสายหลัก และเส้นทางส่วนต่อขยายส่วนที่ 1 รวมทั้งสิ้นประมาณ 36 กม. มูลค่าการว่าจ้างตลอดอายุสัญญา 30 ปี อยู่ในวงเงินประมาณ 1.87 แสนล้านบาท โดยรวมกับการจ้างเดินรถในเส้นทางสายหลักที่สัมปทานจะหมดอายุในปี 2572 ด้วย
การทำสัญญาว่าจ้างครั้งนี้ว่ากันว่า ดำเนินการในลักษณะเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่รัฐลงทุนสร้างงานโยธาทั้งหมด รวมทั้งจัดเก็บรายได้ และเปิด PPP Gross Cost จ้างเอกชนติดตั้งระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนจ้างเดินรถ ซึ่ง รฟม. ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทุกประการ
แต่ปรากฏว่าเมื่อคลี่สัญญาระหว่าง “เคที” และ “บีทีเอส” ในสมัยนั้นกล่าวหากันว่า เป็นการจ้าง “บีทีเอส” เดินรถแบบไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย และอาจจะขัดกับ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 เพราะตามกฎหมายดังกล่าวระบุไว้ว่า หากโครงการที่รัฐทำร่วมกับเอกชนเกินกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไปจะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
สังคมเลยมองกันว่า การทำสัญญาครั้งนั้นเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ “บีทีเอส” เพียงรายเดียว ส่วนรายอื่นก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เข้าไปร่วมไม่ได้ เพราะไม่ได้เปิดประมูล ขณะที่ กทม. เคยอธิบายเรื่องนี้ว่า “เคที” เป็นบริษัทจำกัด ที่ทำสัญญากับบริษัทจำกัดเหมือนกัน จึงไม่ต้องทำ PPP เพราะเป็นเอกชนกับเอกชน
ประเด็นนี้ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับสังคม และเป็นข้อถกเถียงกันจนทุกวันนี้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า “เคที” เป็นบริษัทที่ กทม. ถือหุ้นอยู่ 99.96% และมีผู้บริหารของ กทม. เป็นกรรมการของบริษัทด้วย แต่ทำไมถึงบอกว่าเป็นเอกชน จึงทำให้มีการร้องเรียนเรื่อนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการของการพิจารณา และยังไม่มีการเปิดผลการพิจารณาออกมาแต่อย่างใด
การจ้าง “บีทีเอส” เดินรถไม่ได้จบแค่ส่วนต่อขยายที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2559 “เคที” ยังได้ลงนามในสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ กับ “บีทีเอส” เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งเป็นเส้นทางที่รับโอนมาจาก รฟม. โดยสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 2 พ.ค. 2585 ในยุค ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ เป็นผู้ว่ากทม. และเป็นที่มาของมติคณะกรรมการป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ อดีตผู้ว่ากทม.และพวก รวม 13 ราย ซึ่งมีชื่อ "นายคีรี กาญจนพาสน์" รวมอยู่ด้วย
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการที่ กทม. เร่งขยายอายุสัมปทานให้ “บีทีเอส” อีก 30 ปี อาจเป็นการหนีสัญญาเก่าที่มองกันว่าอาจจะขัด พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ และหวังใช้มาตรา 44 (ม.44) ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีคำสั่ง ม.44 ให้ กทม.ไปเจรจาบีทีเอสขยายสัมปทาน เพื่อแลกหนี้กว่าแสนล้านบาท มาทำเป็นสัญญาฉบับใหม่ ที่จะได้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดยอนุโลม