กรุงศรี ชูแผนปี 2566 โตต่อเนื่องตามแผนระยะกลางหลังปี 2565 ผลดำเนินงานโตดี ปีนี้ คาดสินเชื่อโต 3-5% แย้มมี 3 ดีลบุกธุรกิจต่างประเทศ "เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์" เพิ่มฐานลูกค้าอาเซียน เดินหน้าธุรกิจโตยั่งยืน หนุนลูกค้าโตไปด้วยกันและทุ่มงบ 5 พันล้าน ต่อยอดนวัตกรรมดิจิทัลแบงก์กิ้งป้อนลูกค้าไทยและอาเซียน รุกอัพเกรดคอร์แบงก์ พร้อมคุม NPL ไว้ที่ 2.6%
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) หรือ กรุงศรี ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก กล่าวว่า ปี 2566 ธนาคารกำลังก้าวเข้าสู่ปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน (ปี 2564-2566) ที่เดินหน้าสู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า ซึ่งมีคงามสำเร็จเกิดชึ้นมากมาย เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายในอาเซียนสู่ตลาดหลัก ๆ ในภูมิภาค การเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้ในช่วงท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความยืดหยุ่นในการปรับตัว และพัฒนาการที่สำคัญสู่เป้าหมายด้าน ESG ซึ่งเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งให้กรุงศรีสามารถเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนเพื่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และในปีนี้จะเป็นปีที่ทุกคนจะได้เห็นการยกระดับตำแหน่งของกรุงศรีในอาเซียน ในการดำเนินธุรกิจบนแนวทางESG และในการต่อยอดความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจ
สำหรับผลงานในการดำเนินธุรกิจในปี 2564-2565 ได้แก่
1 การดูแลช่วยเหลือในเชิงรุกแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และยังคงมีลูกค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ คิดเป็นเงินให้สินเชื่อคงเหลือกว่า 150,000 ล้านบาท และอีกกว่า 16,000 ล้านบาทในรูปของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ อีกทั้งกรุงศรียังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดสินเชื่อรวมเติบโตเพิ่มขึ้น 3.1% และความสามารถในการทำกำไร (NIM) ที่ 3.45%
2 การยกระดับโครงข่ายอาเซียนอย่างแข็งแกร่งด้วยการขยายกิจการในต่างประเทศทั้งในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ธุรกิจในประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว ก็ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดี ส่งผลให้กรุงศรีสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ราย ผ่านการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และการร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership)
โดยช่วงที่ผ่านมา กรุงศรีได้ร่วมมือทางธุรกิจกับ SB Finance ประเทศฟิลิปปินส์ และSHB Finance ในประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง สถานะของ Hattha Bank ในประเทศกัมพูชาเองก็มีการยกระดับขึ้นสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการปี 2565 กรุงศรีมีรายได้สุทธิจากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก3% ในปี 2563 เป็น 6% ในปี 2565
และ 3 เป็นผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อความยั่งยืน กรุงศรีเดินหน้าต่อยอดเพื่อบรรลุพันธกิจด้าน ESG พร้อมวิสัยทัศน์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยโครงการต่าง ๆ ที่กรุงศรีริเริ่มและประสบความสำเร็จระหว่างปี ประกอบไปด้วย โครงการ Krungsri x SET ‘Care the Whale’ โครงการ Zero Food Waste และเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ RE100 Thailand Club หรือสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นายเซอิจิโระ กล่าวว่าในปีนี้ คาด เงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3-5% และตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.5% ซึ่งคาดว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) จะยังอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว 2.5-2.6%
"ปีนี้ เอ็นพีแอลอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทยอยหมดอายุโครงการ แต่เราได้ตั้งสำรองหนี้ไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งหนี้เสียที่เพิ่ม สามารถรองรับได้อย่างแข็งแกร่ง"
สำหรับ ปี 2566 ธนาคารได้วางกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่
1 การยกระดับฐานะของกรุงศรีในภูมิภาคอาเซียน กรุงศรีตั้งเป้าที่จะผนึกกำลังธุรกิจต่าง ๆ ในอาเซียนภายใต้กลยุทธ์ One Krungsri เพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าในประเทศไทยและอาเซียน ด้วยเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดบริการทางการเงินที่สำคัญ อาทิ บริการโอนเงิน การลงทุนในต่างประเทศ บริการที่ปรึกษา และบริการอื่น ๆอย่างบัตรเครดิตที่จะเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้นด้วยการนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งขับเคลื่อนเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายในการสร้างรายได้สุทธิจากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนให้เป็น 10%
2 ยกระดับสถานะของกรุงศรีในด้านความยั่งยืน (ESG) ด้วยเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ลดปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี2573 ในปี 2566 นี้ จะสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านและดำเนินงานตามแนวทาง ESG ผ่านหลากหลายโครงการสำหรับลูกค้าธุรกิจและรายย่อย ในส่วนของภาคธุรกิจ ยังรวมถึงการให้เงินสนับสนุนกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เช่น หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ จุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(EV) และพลังงานทดแทน อีกทั้งสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน สินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสีเขียว ธุรกิจเพื่อสังคม และธุรกิจเพื่อความยั่งยืนก็เป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ในส่วนของรายย่อย การให้สินเชื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบต่อสังคม และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG จะได้รับการเสนอให้กับลูกค้า กรุงศรี มีเป้าหมายจะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเป็น 50,000 – 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573
3 สร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การลงทุนต่อเนื่องในโครงการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จของกรุงศรีจะทำให้ธนาคารเพิ่มการสนับสนุนความเชื่อมโยงอาเซียนในวงกว้างผ่านการส่งเสริมการชำระและการโอนเงินข้ามประเทศ โดยในประเทศไทยได้มีการเปิดโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาลกลาง (CBDC) ภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่จะเปลี่ยนอนาคตของการชำระเงินดิจิทัล โดยปีนี้ ตั้งงบลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนายกระดับ Core Banking และดิจิทัล แบงก์กิ้ง ให้รองรับเป้าหมายธนาคารสู่อาเซียน หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารใช้งบลงทุนเฉลี่ยปีละ 1,000 -3,000 ล้านบาท
“ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลจากการเปิดประเทศของจีนที่ยังคงไม่ชัดเจนนัก แต่อุปสงค์ในภาคบริการน่าจะเติบโตเร็วขึ้นกว่าอุปสงค์ต่อสินค้า การเติบโตของเศรษฐกิจในอาเซียนชะลอตัวลงอยู่ที่ 4.9% ในปี 2566 จาก 5.3% ในปี 2565 แต่ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีการเติบโตที่ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีที่รวมถึง RCEP และเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้ามา ด้วยกลยุทธ์ของกรุงศรี เราหวังที่จะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ ไปได้ และจะอาศัยข้อได้เปรียบจากโอกาสต่าง ๆ ที่มีในอาเซียนโดยการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และเสนอโซลูชันที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยทั่วภูมิภาค” นายอาคิตะ กล่าว
(บุคคลในภาพ) นายเซอิจิโระ อาคิตะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารธนาคาร นางสาวดวงดาว วงค์พนิตกฤต (2 จากซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน นายไพโรจน์ชื่นครุฑ (2 จากขวา) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร นายสยาม ประสิทธิศิริกุล (ซ้ายสุด) ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล และนายประกอบ เพียรเจริญ (ขวาสุด) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ประกาศแผนธุรกิจประจำปี 2566 เน้นให้ความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ทั้งในองค์กรตลอดจนพันธมิตรและลูกค้าโดยปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบันปี 2564 – 2566 ที่กรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าพร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน