นายลวรณ  แสงสนิท  ปลัดกระทรวงการคลัง  ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI  เปิดเผยว่า การกลับเข้าซื้อขายในครั้งนี้ เป็นผลจากความมุ่งมั่นในการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งงผลสำเร็จในการบริหารงานภายใต้แผนฟื้นฟูฯ การควบคุมค่าใช้จ่าย การสร้างรายได้ และการบริหารงานอย่างโปร่งใสมีธรรมาภิบาล ทำให้ผลประกอบการปีที่ผ่านมาเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง และในไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง  และคาดหวังว่าการบินไทยจะกลับมาอยู่ในดัชนี SET50 ได้ในอนาคต 

สำหรับการเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปี ซึ่งจะครอบคลุม การ จัดหาเครื่องบินใหม่ รวม 80 ลำ โดยในจำนวนนี้ได้ทำสัญญาจัดหาแล้ว 45 ลำ และยังมี  Option Order  อีก 35 ลำ ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ  โดยยังมีเวลาในการพิจารณาและตัดสินใจ   เนื่องจากเครื่องบินล็อตแรก จะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงต้นปี 2571 จากที่กำหนดไว้เดิมคือกลางปี 2570 เนื่องจากปัญหาด้านการผลิตในอุตสาหกรรม

ปลัดคลังยืนยันว่า แผนการจัดหาเครื่องบิน 45 ลำเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นก่อนการเจรจาภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัฐบาลไทย ซึ่งแผนซื้อเครื่องบินถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทยได้จัดหาเครื่องบินตามแผนธุรกิจที่วางไว้แล้ว โดยยืนยันว่าการบริหารงานของบริษัทเป็นไปอย่างมืออาชีพและเป็นอิสระจากปัจจัยภายนอกิพร้อมยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง

“ผมเชื่อว่าความอิสระในการบริหารงานอย่างมืออาชีพ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การบินไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” ลวรณกล่าว

นายลวรณ เชื่อ ว่า  หาก การบินไทย มีจำนวน เครื่องบิน ให้บริการ เพิ่มขึ้นได้ ตามแผน ควบคู่ กับ การบริหาร อย่าง มืออาชีพ และ มีธรรมาภิบาล จะทำให้ การบิน ไทย ซึ่ง เป็น สายการบินแห่งชาติจะทะยานสู่บทบาทหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบิน ตลอดจนการเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ ที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI  กล่าวภายหลังพิธีเปิดการกลับมาซื้อขาย (เทรด) วันแรกของหุ้น THAI ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) วันนี้  (4 ส.ค.) ว่า "รู้สึกดีใจมากที่หุ้นการบินไทบได้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง   ซึ่งราคาหุ้นกว่า 10 บาทถือว่าเกินคาดหมาย แต่เชื่อว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบเคียง Benchmark กับอุตสาหกรรมเดียวกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบริษัท ก็ไม่ด้อยกว่าบริษัทอื่นหรืออาจจะดีกว่า   อีกทั้งหุ้นการบินไทย ได้เข้ามาซื้อขายในจังหวะที่เหมาะสม  มีปัจจับหนุนจากตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือ 1,200 จุด หลังจากก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นลดลงอยู่ที่กว่า  1,000  จุด"

เขาระบุว่า การบินไทยจะเเป็นหุ้นอีกตัวที่น่าลงทุนที่ดีของนักลงทุนเน้นคุณค่า (นักลงทุน VI) 

แนวโน้มผลประกอบการในช่วง  4 เดือนที่เหลือของปี 2568 นี้  แม้ช่วงที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวบางประเทศลดลง แต่ตลาดหลักๆของการบินไทย เป็นเส้นทางบินระยะไกล (Long Haul) ได้แก่ ยุโรปและออสเตรเลีย ขณะที่สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนยังคงอยู่ที่ 5% ของรายได้ทั้งหมดเและแม้จะมีเหตุการณ์ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับจำนวนผู้โดยสาร เพราะสามารถขยายเส้นทางบินไปที่อื่นได้ จึงไม่ได้กังวลเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว  

นายชายมั่นใจว่า ผลประกอบการทั้งปีนี้ คาดจะทำได้ตามเป้าหมาย  หลังจากผลประกอบการในไตรมาส 1-2  ที่ผ่านมา ทำได้ตามเป้าแล้ว  ส่วนโอกาสการจ่ายเงินปันผลในปี 25’68 นี้   ตามหลักการหากบริษัทมีกำไรสุทธิเป็นบวกอย่างน้อย 25% ก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้

 “แนวโน้มในไตรมาส 3-4  ยังไม่สามารถบอกได้ แต่พบว่า ยอด  Booking ในช่วงครึ่งปีหลังใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา  และช่วงไฮซีซั่น ปกติการบินไทยมีกำไรมาตลอดในช่วง 10 ไตรมาสติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงโลซีซั่นหรือไฮซีซั่น   ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทไม่เคยมีกำไรเลยโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2-3 มีปัญหามาโดยตลอด”

สำหรับแผนจัดหาเครื่องบินใหม่จำนวน 150 ลำ ภายในปี 2576 เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต นายชาย กล่าวว่าการเติบโตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรสายการบิน  โดยปัจจุบัน การบินไทย มีสัดส่วนฝูงบินโบอิอยู่ที่ 60%  และแอร์บัส 40%   ซึ่งจะมีการทยอยจัดหาเครื่องบินรุ่นลำตัวแคบของโบอิงอีก 32 ลำ โดยจะเริ่มรับมอบลำแรกในปี 2571 และเมื่อแผนจัดหาเครื่องบินใหม่แล้วเสร็จ จะทำให้สัดส่วนฝูงบินในอนาคตเป็น 60% โบอิง และ 40% แอร์บัส หรือมีสัดส่วนเกือบ 50% ใกล้เคียงกัน  ใน แผนดังกล่าว การบินไทยมีเป้าหมายในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจาก 26% เป็น 35% ภายในปี 2572 และคาดว่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นไปถึง 400,000 ล้านบาท

นายชาย กล่าวถึงการซื้อเครื่องบินของการบินไทย ว่า  ไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองแน่นอน เพราะตั้งแต่ปลายปี 2566 จนถึงปัจจุบันไม่มีแรงกดดัน หรือความต้องการจากภายนอก การตัดสินใจซื้อมาจากพื้นฐานของธุรกิจจริง ๆ  และที่สำคัญเรื่องการเจรจาภาษีของทรัมป์มาทีหลัง

“ยังไม่มี (ข้อเสนอให้ซื้อเครื่องบินเพิ่ม) ซึ่งการที่การบินไทยกลับมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะมาจากความเป็นอิสระและบริหารงานอย่างมืออาชีพ  มีการนำระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือ (KPI มาใช้กับพนักงานและผู้บริหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรแข็งแกร่งและพร้อมจเเติบโตต่อไปในอนาคต”

ส่วนโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภา  ล่าสุดการบินไทย ได้รับจดหมายจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ) หรือ EEC แล้ว โดยเตรียมจะตอบกลับภายในเดือนกันยายนนี้ โดยแผนการลงทุนดังกล่าว อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท  ส่วนแผนการก่อสร้างจะยังไม่เริ่มภายในปีนี้ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการออกแบบ  การจ้างผู้รับเหมาและที่ปรึกษา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้เร็วที่สุดภายใน 1-2 ปีข้างหน้า  โครงการนี้จะเป็นการร่วมลงทุนกับ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA  ซึ่งอยู่ระหว่างพูดคุยหลายโมเดล  แต่อาจจะเป็นในรูปแบบกาาร่วมกันใช้พื้นที่ เพราะพื้นที่ทั้งหมดมีประมาณ 220 ไร่ ซึ่งทาง BA อาจมีการใช้พื้นที่บางส่วนและมาร่วมใช้พื้นที่ร่วมกัน เนื่องจากในส่วนโครงสร้างพื้นฐานสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ในส่วนของรายได้นั้นจะมีแยกกันของใครของมัน โดยสัดส่วนการใช้พื้นที่ของ BA อยู่ที่ประมาณ 30 ไร่ และที่เหลือเป็นของการบินไทยทั้งหมด เพราะมีจำนวนเครื่องบินที่มากกว่า

นายบรรยงค์ พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ในฐานะที่ปรึกษาของ บมจ. การบินไทย  กล่าวว่า  การฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย ถือเป็นเคสที่น่าสนใจในระดับโลก จากการพลิกฟื้นองค์กรที่เคยอยู่ในภาวะวิกฤต จนวันนี้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง   ความสำเร็จและปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบินไทยแตกต่างจากสายการบินชั้นนำในอดีตที่ล้มละลายไปในที่สุด

จากความผันผวนของอุตสาหกรรมการบิน ที่กระทบสายการบินทั่วโลก  ยกตัวอย่างสายการบินยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง TWA และ Pan Am  ที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ต้องล้มละลายและไม่สามารถฟื้นตัวได้ จึงกลายเป็นตำนาน  ส่วนสายการบินที่เคยล้มละลายและวันนี้ยังคงอยู่ อย่ทง United Airlines และ Swissair   ก็ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของ Lufthansa  และล่าสุดอย่าง Alitalia  ที่ต้องให้รัฐบาลอิตาลี และ Lufthansa เข้ามาฟื้นฟูจนกลายเป็นสายการบินใหม่ชื่อ ITA Airways

กรณี ที่ประสบความสำเร็จในการฟื้นตัว  คือ Japan Airlines (JAL)  และการบินไทย  แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ  ดังนี้

-  JAL ฟื้นตัวในภาวะที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น  แต่ การบินไทย ฟื้นตัวได้ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ดีนัก 

-JAL  ตัดสินใจให้ ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นศูนย์ และเจ้าหนี้ถูกตัดหนี้ไปกว่าครึ่งหนึ่ง  แต่การบินไทยยังคงมีผู้ถือหุ้นเก่าอยู่และสามารถกลับมาดำเนินการได้

-การบินไทยฟื้นตัวได้โดยที่รัฐบาลไม่ต้องอัดฉีดเงินในช่วงแรก แต่รัฐบาลมาใส่เงินตอนเพิ่มทุน   20,000 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกลับมาเทรดมีราคาสูงถึง 10 บาทต่อหุ้น  เท่ากับว่าตอนนี้ เงินลงทุนของรัฐบาบมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนล้านบาทแล้ว 

นายบรรยง กล่ทวถึงสิ่งสำคัญ อนาคตของการบินไทย คือ การป้องกันไม่ให้องค์กรการบินไทยกลับไปเป็นเหมือนเดิมจนเกิดวิกฤติอีกครั้ง นั่สก็คือ การมีอธรรมาภิบาลที่ดี (Governance) โดยเฉพาะกรรมการฯ จะต้องไม่ปล่อยให้การเมืองหรือบุคคลภายนอกเข้าแทรกแซงการบริหารงาน  การแต่งตั้งบุคลากรจะต้องเป็นไปตามหลัก Merit Based หรือหลักการพิจารณาจากความรู้ความสามารถเป็นสำคัญ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างมากที่การบินไทยสามารถกลับมาได้ ตอนนี้ อนาคตการบินไทยถือว่าสดใส ทั้งแนวโน้มผลประกอบการท่่ถือว่าดี แม้จำนวนผู้โดยสารและจำนวนฝูงบินในปีนี้อาจไม่เพิ่มจากปีที่แล้ว ด้วยปัญหาการเร่งซ่อมบำรุงเครื่องบิน ปรับปรุงที่นั่ง ฯลฯ แต่ปีหน้า ทั้งฝูงบินและจำนวนนักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้น 

ส่วนการบินไทยจะสามารถจ่ายปันผลได้หรือไม่นั้น อาจต้องดูเงื่อนไขในแผนฟื้นฟูว่า เงินกำไรที่เกิดขึ้น จะต้องนำไปชำระหนี้ก่อนหรือมีเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผลอย่างไร ซึ่งอาจจะยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้การบินไทยกลับเข้ามาเทรดในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง และขอชื่นชมการบินไทยถือเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทจดทะเบียนไทย