KJL เดินหน้าโตต่อ ปูพรมบุกทุกตลาด เจาะทุกอุตสาหกรรม ด้วยสโลแกน“ที่ไหนมีไฟ ที่นั่นต้องมี KJL” เดินหน้าออกโปรดักส์ใหม่ ขยายโรงงานรองรับดีมานด์พุ่ง ลั่นปี 66-70 โต 2 เท่าทั้งรายได้ และกำไร ใช้เทคโนโลยีคุมต้นทุน แย้ม 5 ปี ยกระดับบริษัท ย้ายจาก Mai ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้นำด้านนวัตกรรมการผลิต ตู้ไฟ รางไฟ ด้วยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2566 ว่า ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% มีอัตรากำไรขั้นต้น ประมาณ 28-30% และวางเป้าหมายอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ในระดับ 13-14% โดยมีแผนจะขยายตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศจาก 400 แห่ง เป็น 800 แห่ง
ส่วนแผนระยะ 5 ปีข้างหน้า (2566-2570) บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรม IT และ Data Center รวมถึงเทคโนโลยี IOT ที่จะตอบสนองธุรกิจ และการต่อยอดธุรกิจสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตด้วย Digital Industry 4.0 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในภาคการผลิต โดยจะขยายตัวแทนจำหน่ายไปทั่วประเทศให้ได้ 1,200 แห่ง และขยายกำลังการผลิตของโรงงาน โดยใช้สโลแกน “ที่ไหนมีไฟ ที่นั่นต้องมี KJL”
จากแผนที่วางไว้ คาดว่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตทั้งในด้านรายได้ และกำไร ในอัตราที่สูงต่อเนื่องกว่า 2 เท่าตัวภายในปี 2570 และคาดว่าใน 5 ปีข้างหน้า จะยกระดับของบริษัทด้วยการย้ายหลักทรัพย์ของบริษัทที่ในตลาดหลักทรัพย์ Mai เข้าไปจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,026.07 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.38% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 845.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 131.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.97% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 94.04 ล้านบาท โดยที่รายได้ของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดขายสินค้ามาตรฐานเคเจแอล ประกอบไปด้วยตู้สวิทซ์บอร์ด รางเดินสายไฟ และกล่องพูลบ๊อกซ์ ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 171.10 ล้านบาท ตามการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจ และการขยายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รวมถึงรายได้จากการขายสินค้าสั่งผลิต หรือ MTO ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 35.64 ล้านบาท และรายได้จากการขายเศษเหล็กที่เพิ่มขึ้นจำนวน 5.68 ล้านบาท ตามยอดขายสินค้ามาตรฐานเคเจแอลที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ตามราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่สูงขึ้น รวมถึงบริษัทฯมีการใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ เป็นต้น ทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานฝ่ายผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 28.62% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.46% และอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 12.83% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.12%
“ในปี 65 ที่ผ่านมาผลประกอบการของเราเติบโตได้จากยอดขายสินค้ามาตรฐาน และสินค้าสั่งผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ถือว่าเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนสูงที่สุดของบริษัทฯ ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า(EV) และพลังงานทดแทน รวมถึงการขยายการลงทุนใน EEC ของภาครัฐและเอกชน ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการสินค้าของเราเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปีก่อนต่อเนื่องจนถึงปีนี้ และที่สำคัญเรายังใช้เทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถควบคุมต้นทุน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในกระบวนการผลิตอีกด้วย” นายเกษมสันต์กล่าว
จุดแข็งที่ทำให้ บริษัท ประสบความสำเร็จ มาจาก 1.ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจ 2.ล้ำหน้าด้วยนวตกรรมที่ทัยสมัยใช้เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานจากญี่ปุ่น 3.แบรนด์ผลิตภัณฑ์ KJL ที่แข็งแกร่ง 4. ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานระดับสากล 5.สินค้าพร้อมส่ง รวดเร็วตรงต่อเวลา สั่งด่วนได้เร็ว เช้าได้บ่าย 6. ใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0