เทียบฟอร์ม 3 หุ้น กลุ่มบริหารสินทรัพย์ BAM ที่ถูกยกให้เป็นTop Pick ในกลุ่ม เพราะตลอดปีที่ผ่านมาราคาอืดเป็นเรือเกลือ ไม่เคลื่อนไหวเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่วิ่งกันไปเกิน 60% ในช่วงปีที่ผ่านมา น่าจะถึงเวลาที่ราคาจะออกสาร์ทได้แล้ว
หลังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มเห็นทิศทางการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ชัดเจนขึ้น และลูกค้าเริ่มมีกำลังซื้อสินทรัพย์ที่รอการขาย ทำให้หุ้นกลุ่มบริหารสินทรัพย์ เป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้น BAM
ในปี 2564 ที่ผ่านมา หุ้นที่ทำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ที่โดดเด่น คงต้องยกให้ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ที่มีข่าวดีเข้ามาช่วยหนุนราคา จากการซื้อหนี้เข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้าน และการร่วมทุนกับธนาคารกสิกรไทย ตั้งบริษัทจัดการหนี้ ทำให้ในปีที่แล้วราคา JMT พุ่งขึ้นร้อนแรงเกือบ 100% จากราคาตอนสิ้นปี 2563 ที่ระดับ 36 บาท ล่าสุดเมื่อวัน17 ม.ค.65 อยู่ที่ 66.25 บาท สร้างกำไรให้นักลงทุนกันถ้วนหน้า
ส่วนหุ้น CHAYO หรือ บริษัท ชโย กรุ๊ป ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน วิ่งเกือบ 60% จากราคาเมื่อตอนสิ้นปี 2563 ที่ระดับ 8.20 บาท ล่าสุดเมื่อวัน17 ม.ค.65 อยู่ที่ 13 บาท
มีเพียง BAM หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ ซึ่งทำธุรกิจบริหารจัดการหนี้เหมือนกัน แต่ราคากลับย่ำอยู่กับที่ จากราคาตอนสิ้นปี 2563 ที่ 21.90 บาท เมื่อวัน17 ม.ค.65 อยู่ที่ 20.40 บาท
หากพิจารณาข้อมูลทางการเงิน ทั้งในแง่รายได้ กำไร เยอะกว่า JMT และCHAYO หลายเท่า นอกจากนี้ P/E และ P/BV ก็ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับ JMT และCHAYO
การเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้น JMT และCHAYO ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมามองหุ้น BAM ซึ่งทำธุรกิจประเภทเดียวกันว่า น่าจะถึงเวลาที่ราคาจะออกสาร์ทเริ่มวิ่งบ้างแล้ว หลังจากนิ่งสนิทมาตลอดทั้งปี
ในมุมมองของ บล.หยวนต้า ยกให้ BAM เป็น Top Pick ของหุ้นในกลุ่มบริหารจัดการสินทรัพย์ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น Laggard กลุ่มมากเกินไป ขณะที่ผลดำเนินงานมีทิศทางที่สดใส และจากพัฒนาการในเชิงธุรกิจที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปี 2565 ทั้งในส่วนของธุรกิจใหม่ๆ ที่จะต่อยอดธุรกิจเดิม และการทำ จับมือทำธุรกิจร่วมกับสถาบันการเงินเพื่อรองรับปริมาณหนี้เสียในระบบที่จะทยอยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดช่วงสั้นจะมีปัจจัยหนุนจากผลดำเนินงานที่เติบโตดี เมื่อเทียบต่อไตรมาสหลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และได้อานิสงค์บวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
คาดการณ์ว่าในปี 2564 BAM จะมีกำไร 2,343 ล้านบาท เติบโต 27.3%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนปี 2565 เราคาด BAM จะมีก าไรสุทธิ 2,673 ล้านบาท โตต่อ 14.1%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการช าระหนี้ของลูกหนี้ในพอร์ตของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตาม หนุนให้คาดจำนวนลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้จะขยับขึ้นต่อ และด้วยการที่กรมบังคับคดีกลับมาเปิดดำเนินงานปกติ จะช่วยให้การประมูลหลักประกันเพื่อขายทอดตลาดเร็วขึ้นจากปี 2564
นอกจากนี้ คาด BAM จะเริ่มธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันเพื่อต่อยอดสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมจากพอร์ตหนี้เสียในมือ ขณะที่ยอดขาย NPA มีทิศทางเร่งตัวขึ้นเช่นกันเนื่องจากราคาบ้านมือหนึ่งเริ่มมีราคาสูงขึ้น คาดช่วยเพิ่มความต้องการให้กับอสังหาฯ มือสอง ประกอบกับบริษัทมีแผนทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้นทั้งการคัดทรัพย์ราคาพิเศษเพื่อเสนอขายในราคาต่ำ และการทำโปรโมชั่น ผ่านช่องทาง Offline และ Online มากขึ้นจากเดิม
ขณะที่ในแง่ Valuation หุ้น BAM ยังถือว่าไม่แพง ซื้อขายด้วย PBV ต่ำเพียง 1.6 เท่า เทียบกับคู่แข่งอย่าง JMT และ CHAYO ที่ซื้อขายด้วย PBV สูงถึง 10.7 เท่า และ 5.3 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันยังมี Upside ราว 21% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 24.50 บาท รวมทั้งคาดให้อัตราเงินปันผลตอบแทนอีก 2.8%