ในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี ใครที่ลงทุนหุ้นเวลานี้เป็นต้นไป คงจะต้องระมัดระวังอีกปัจจัยเรื่องของราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลงจากประเด็นหุ้นถูกขึ้นเครื่องหมาย XD (ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล) ที่จะทยอยตามมาจำนวนมาก Clubhoon จึงได้รวบรวมข้อมูลผลดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มธุรกิจประกัน การจ่ายเงินปันผล และราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลง (ดูกราฟฟิกจบในหน้าเดียว) พร้อมกับแนวโน้มธุรกิจนี้เติบโตแบบไหน สะท้อนผ่านราคาหุ้นอย่างไรบ้าง
ภาพรวมกลุ่มประกันทั้งประกันวินาศภัย ประกันชีวิตและโบรกเกอร์ประกันรวม 10 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ผลดำเนินงานปี 2564 ที่ผ่านมา ภาพรวมกำไรของกลุ่มประกัน 13 แห่ง มีกำไรรวม 1,212 ล้านบาท ลดลงกว่า 8,900 ล้านบาท คิดเป็นกำไรร่วง -88% จากปี 2563 กำไรรวม 10,134 ล้านบาท (ดูกราฟฟิก) ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แม้ว่าบางบริษัทจะมีกำไรก็ตาม
ต้องยอมรับว่า ปีที่แล้วเป็นปีธุรกิจประกันต่างๆ โดยเฉพาะประกันภัยทีได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิดระบาด ทำให้มียอดเคลมประกันภัยโควิด 'เจอ จ่าย จบ' ของหลายบริษัทต้องควักเนื้อจ่ายก้อนมหึมา กิจการซวนเซ โดยปีที่แล้ว ธุรกิจประกันภัยเบี้ยรับรวม 2.66 แสนล้านบาท เติบโตเพียง 5.2% ซึ่งเบี้ยรถยนต์โตเพียง 2.1% แต่เบี้ยประเภทอื่น (Non Motor) โตสูงกว่า ซึ่งมาจากเบี้ยประกันสุขภาพ เบี้ยอุบัติเหตุและเบี้ยภัยทางทะเลและขนส่ง แต่ก็มีหลายบริษัทที่ผลดำเนินงานดีจากคนรักสุขภาพมากขึ้น ดันยอดประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงรวมถึงโควิดเติบโตแรง และบางบริษัทยังมีพอร์ตทำกำไรจากการลงทุนได้เช่นกัน โดยตลาดหุ้นหุ้นไทยปีที่แล้ว SET Index ปี 64 เด้งขึ้นมาถึง 189.38 จุด หรือ 12.89% จากต้นปี โดย 30 ธ.ค. 2564 SET Index ปิดที่ 1,657.62 จุด ส่วนต้นปีนี้ผ่านมา 2 เดือน (YtD) ดัชนี ณ 28 ก.พ. 2565 ปิดที่ 1,685.18 จุด บวก 27.56 จุด หรือ 1.66%จากสิ้นปีที่แล้ว
มาดูไส้ในผลดำเนินงานปี 64 ในกลุ่มประกันกัน เริ่มจากประกันที่ขาดทุนหนัก 3 แห่ง ขาดทุนจำนวน 8,369 ล้านบาท ได้แก่ บมจ. สินมั่นคงประกันภัย (SMK) บมจ. เครือไทย โฮลดิ้งส์ (TGH) บมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) ทำธุรกิจรับช่วงประกันภัยความเสี่ยงต่อจากบริษัทประกันต่างๆ แน่นอนชัดเจนแล้วด้วยว่า ทั้ง 3 แห่งนี้ ประกาศงดจ่ายปันผลงวดผลดำเนินงานปี 2564 แล้ว คงต้องรอลุ้นปี 2565 จะผลงานดีกลับมาได้ไหม ขณะที่ราคาหุ้นหลายๆบริษัทยังคงปรับัวรร่วงต่อเนื่อง
ขอเริ่มต้นที่ "สินมั่งคงฯ " แม้ปีที่แล้ว ดิ้นหนีภาระเคลมด้วยการขอยกเลิกการรับประกันภัยโควิด เจอ จ่าย จบ แต่ถูก คปภ. เบรกไม่ให้ยกเลิก ผลดำเนินงานในปี 64 จึงขาดทุนหนักกว่า 4,750 ล้านบาท ลดลงถึง 727% หลังมีผู้ซื้อประกันภัยโควิดแบบ เจอ จ่าย จบ จำนวนมากทะลักเข้ามาเคลมค่าสินไหมจนฐานะการเงินบริษัททรุดหนัก และต้องงดจ่ายปันผล ส่วนราคาหุ้น 2 เดือนร่วงลงอีก 11%ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
ฝั่งประกันของเจ้าสัวเจริญ "เครือไทย โฮลดิ้งส์ ขาดทุนอ่วมกว่า 3.2 พันล้านบาท ติดลบถึง 548% หรือกว่า 5 เท่าตัวจากปี 63 เนื่องจากบริษัทลูก คือ “อาคเนย์ประกันภัย” จ่ายค่าเคลมให้ลูกค้าประกันภัยโควิด เจอ จ่าย จบ ก้อนมหึมาเช่นกัน เจ้าสัวสั่งขอเลิกกิจการ และ TGH แจ้งงดจ่ายเงินปันผล ด้านราคาหุ้นช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ร่วงลงมา 18% ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
ต่อด้วยบมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) ทำธุรกิจรับช่วงประกันภัยความเสี่ยงต่อจากบริษัทประกันต่างๆ ทำเอาขาดทุนกว่า 330 ล้านบาท ติดลบ 260% และงดจ่ายเงินปันผลตามระเบียบ ส่วนราคาหุ้นร่วงกว่า 3% ในช่วง 2 เดือน
ต่อด้วย บมจ.ไทยเศรษฐกิจประกันภัย ปี 64 ขาดทุน 59 ล้านบาท ลดลง 42%งจากปี 63 ขาดทุนถึง 120 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีฐานะขาดทุนสะสมแล้ว 688 ล้านบาท โดยปีที่แล้ว รายได้จากเบี้ยรถยนต์ -11% และเบี้ย Non Motor ที่ยังพอเติบโต และยังมีกำไรจากการลงทุนของพอร์ต จึงทำให้ภาพรวมขาดทุนลดลง และงดจ่ายปันผลต่ออีกปี ขณะที่ราคาหุ้นร่วง 5%จากสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 0.39 บาท หลังเปิดงบปีฯ ออกมา ราคาร่วงเหลือ 0.37 บาท ( 28 ก.พ.65)
ส่วนบริษัทที่กำไรลดลงมี 2 แห่ง ได้แก่ บมจ. กรุงเทพประกันภัย (BKI) ผลดำเนินงานปี 64 สะดุดยอดเคลมประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ”ก้อนใหญ่เช่นกัน ฉุดกำไรทรุดถึง 1,700 ล้านบาททีเดียว แต่ยังกัดฟันจ่ายเงินปันผลถึงหุ้นละ 5 บาททีเดียว เพราะมีกำไรสะสมสูงและฐานเงินกองทุนแข็งแรง ต้องยกให้กับราคาหุ้นยืนแกร่งที่ 268 บาท เพราะ ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
อีกบริษัท บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TIPH) ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) โดยบริษัทแม่ปี 64 กำไรลดลง 700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11%จากปี 2563 ส่วนงดจ่ายเงินปันผลไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากโควิดแต่อย่างใด แต่เพราะต้องรอบริษัทลูก คือ TIP จ่ายเงินปันผลเข้ามาก่อน ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 65 คณะกรรมการของทิพยประกันภัยมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ TIPH หุ้นละ 1.50 บาท เพราะฉะนั้น ผู้ถือหุ้น TIPH รอลุ้นรับเงินปันผล
และบมจ. นำสินประกันภัย (NSI) ปี 64 กำไรสุทธิ 129 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 63 ที่กำไร 160 ล้านบาท โดยลดลง 31 ล้านบาท หรือ -19% และยังไม่มีการประกาศจ่ายเงินปันผล แต่ช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปถึง 10 บาทหรือ 12% จากสิ้นปีที่แล้ว 91.28 บาท ปรับตัวขึ้นมาที่ 91.25 บาท ณ วันที่ 28 ก.พ. 65
ฝั่งบริษัทที่ยังโกยกำไรได้ดีและเติบโต มีถึง 5 บริษัท นำโดย บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ผลงานปี 64 อู้ฟู่มาก มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 3,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99% จากปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับและค่าใช้จ่ายการรับประกันภัยที่ลดลง โดยเบี้ยรับประกันภัยสุทธิอยู่ที่ 33,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรจากพอร์ตลงทุนด้วย แต่ในส่วนของเบี้ยรับปีแรกทั้งสิ้น 6,262 ล้านบาท ลดลง 4% จากปี 63 เนื่องจากยอดขายจากช่องทางธนาคารลดลง 14% จากช่วงโควิด-19 แต่ยอดขายผ่านตัวแทนเพิ่มขึ้น 8% จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่รวมถึงประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง และขายผ่านออนไลน์และช่องทางอื่นๆ โตรวมถึง 25% ผู้ถือหุ้น BLA รอรับปันผลหุ้นละ 0.56 บาท ขณะที่ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปถึง 18% ยืนอยู่ที่ 44 บาท/หุ้น (ราคาปิด 28 ก.พ.65)
บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล (AYUD) ที่ถือหุ้นในบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย และบริษัท อลิอันซ์ อยุธยาประกันชีวิต ผลงานของ AYUD ในปี 64 โชว์กำไรสวยกว่า 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 94% และจ่ายเงินปันผล 0.77 บาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้น 28 ก.พ. 65
บมจ.คิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) ซึ่งมีบริษัทลูก "ทีคิวเอ็ม โบรกเกอร์" เป็นนายหน้าขายประกันหลายบริษัท มีลูกค้าซื้อประกันผ่านเยอะเพราะขายหลายบริษัทหลายโปรดักส์ ขณะที่ภาระจ่ายค่าเคลมขึ้นกับบริษัทประกัน ทำให้ปี 64 เป็นปีนิวไฮ ของ TQM ปั๊มกำไร 890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เป็นปีที่ทำรายได้ 3,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% ผู้บริหารแจงทำยอดขายประกันภัยรถยนต์ได้ตามเป้าหมาย และ Top up จากยอดขายประกันสุขภาพที่เติบโตสูงจากช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะยอดซื้อประกันโควิด ผู้ถือหุ้นรับเงินปันผลหุ้นละ 0.50 บาทกันไป แต่ราคาหุ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปรับลดลงราว 5% ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQM ปีนี้ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 19,011 ล้านบาท เติบโต 8.6%
ส่วนบมจ.เมืองไทยประกันภัย ฝ่าวิกฤตประกันโควิด เจอ จ่าย จบ โชว์ผลงานปี 64 กำไร 767 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 30% โดยมีรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้นมากตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ปีที่แล้ว ทำให้รายได้จากการลงทุนและอื่นๆ พุ่งขึ้นราว 200 ล้านบาท มาอยู่ที่กว่า 600 ล้านบาท จึงประกาศจ่ายปันผลงามๆหุ้นละ 5.20 บาท ส่วนราคาหุ้นสตรอง ไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นปีที่แล้ว
บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (TVI ) ปี 64 กำไรโดดเด้ง 472 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 63 ที่กำไร 77.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 400 ล้านบาทจากปี 63 ที่กำไรราว 78 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 505% เทียบเท่ากับกว่า 5 เท่าตัว บริษัทอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างเพื่อจัดตั้งเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ จึงยังไม่มีการประกาศจ่ายเงินปันผล ขณะที่ราคาหุ้น TVI ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ ปรับตัวลงแรง 10.45 บาท หรือราว 38%จากสิ้นปี 27.25 บาท มาอยู่ที่ 16.80 บาท (28 ก.พ.)
ปิดท้าย บมจ.บางกอกสหประกันภัย (BUI) ซุ่มโกยกำไรมาอย่างเงียบๆ ปี 64 กำไรกระโดดขึ้นมาถึง 92 บาท จากสิ้นปี 63 มีเพียง 13 ล้านบาท โตกระโดดกว่า 608% เท่ากับ 6 เท่าตัวทีเดียว จ่ายปันผลงวดผลดำเนินงานปี 64 อัตรา 1 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 10 มี.ค. และจ่ายเงินปันผลวันที่ 20 พ.ค. 2565 แต่ทว่า ราคาหุ้นกลับร่วงลงมา 14%
3 เสี่ยงหลักกับช่วงปีแห่งการปรับฐานต่อเนื่อง
ในปี 2565 นี้ หุ้นประกันยังมีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่กดดันราคาหุ้นทุกวันนี้อยู่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สะท้อนในส่วนของธุรกิจประกันชีวิตไว้ด้านเดียว ดังนี้
1 เรื่องภาระเคลมสินไหมในสถานการณ์โควิด-19 ของภาพรวมบริษัทประกันชีวิตในปีนี้หากเป็นธุรกิจประกันชีวิตก็ยังอยู่ในกรอบที่บริหารจัดการได้เมื่อเทียบกับกรณีของบริษัทประกันวินาศภัย โดยเฉพาะที่ขายประกันประเภทเจอจ่ายจบ เนื่องจากพอร์ตการรับประกันสุขภาพที่ใหญ่มาก และมีเงื่อนไขการจ่ายสินไหมที่ชัดเจนภายในกรอบวงเงินประกันสุขภาพที่ซื้อไว้ ประกอบกับการเบิกเคลมด้วยอาการเจ็บป่วยโดยรวม “ชะลอลง” ตามมาตรการป้องกันโรคระบาด ทำให้ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2563-2564 ของบริษัทประกันชีวิตโดยทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
2 ความเสี่ยงของธุรกิจประกันที่จะต้องรับมือในปี 65-66 คือ บริษัทประกันชีวิตต้องทยอยปรับตัวพร้อมเข้าสู่มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS17 ในวันที่ 1 ม.ค. 67 สิ่งที่จะเกิดขึ้น การดันเบี้ยให้สูงที่เคยมีผลต่อรายได้ของบริษัทต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่”ลดลง” ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนการลงบัญชีที่มีผลทำให้ “การรับรู้รายได้” ของบริษัทประกัน “กระจาย” ออกไปตามจำนวนปีที่คุ้มครอง (ไม่ใช่รับรู้ทั้งหมดในปีเดียว) และบริษัทจะไม่สามารถนำเบี้ยรับทั้งจำนวนมาบันทึกเป็นรายรับได้ โดยจะต้องแยกส่วนของเงินออมเงินลงทุนออกจากเบี้ยรับก่อน แล้วจึงนำมาบันทึกเป็นรายได้การประกันภัย เพื่อให้สะท้อนรายได้ที่แท้จริงจากความคุ้มครองที่บริษัทประกันภัยให้ไว้ ในช่วง 2 ปีนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่น่าเน้นพัฒนาและขายประกันที่เน้นความคุ้มครองมากขึ้น ส่วนประกันสะสมทรัพย์คงมีทิศทางลดลง และถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบที่มีส่วนร่วมในเงินปันผล หรือแบบประกันควบการลงทุนทั้งแบบ “ยูนิตลิงค์และยูนิเวอร์แซลไลฟ์” มากขึ้น
3 ความเสี่ยงกติกาของคปภ. ที่เข้มขึ้นในปีนี้ จะบังคับใช้อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 120% เป็น 140% ในปีนี้ตามแผนเดิมหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทแล้ว ขณะที่บริษัทประกันส่วนใหญ่มีระดับเงินกองทุนสูงเฉลี่ย 300% (ณ ไตรมาส 3/64) จึงไม่กระทบต่อภาพรวมธุรกิจ
ทิศทางธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ยังอยู่ในช่วงการ “ปรับฐานต่อเนื่อง” หลังจากปีก่อนเติบโตจากเบี้ยรายใหม่โดยเฉพาะประเภทจ่ายครั้งเดียว ขณะที่เบี้ยปีต่ออายุไม่โต เพราะจะมีกรมธรรม์ที่ครบกำหนดชำระเบี้ย แต่ยังมีความคุ้มครองจำนวนมาก แต่ก็มีโอกาสที่กำลังซื้อรายใหม่ ก็อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดไว้ ถ้าหากว่าเศรษฐกิจเติบโตได้ตามที่สภาพัฒน์ ประเมินจีดีพีปี 2565 เติบโต 3.5%-4.5% เทียบกับ 1.6% ในปีที่แล้วสิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อสูงและทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ย ที่อาจกระทบต่อ “อำนาจซื้อ” ทั้งทางตรงและทางอ้อม คาดว่า บริษัทประกันคงต้องพยายามรักษาอัตราการเติบโตในปีนี้ให้ต่อเนื่อง
"นั่นหมายถึงต้องเร่ง “ยอดขายเบี้ยใหม่” ให้โตไม่น้อยกว่า 7% โดยในระหว่างปี ากขยายเบี้ยปีแรกได้ไม่มาก อาจเห็นความจำเป็นต้องขยายเบี้ยจ่ายครั้งเดียว นำโดยประกันสะสมทรัพย์จ่ายเบี้ยสั้น แม้อาจมีจำนวนไม่สูงเท่าปี 2564 อันเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและยังคงทำให้เส้นทางการปรับโครงสร้างพอร์ตเบี้ยประกันให้มีความยั่งยืน อาจต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 3-5 ปี " ศูนย์วิจัยฯ ระบุ
ส่วนช่องทางขายประกัน ปกติจะมาจากตัวแทนและธนาคารกว่า 90 % ซึ่งในปีนี้จะเห็นการขายผ่านธนาคารมีบทบาทสูงในการดันยอดเบี้ยรับรายใหม่ ทั้งจากผู้ซื้อในฤดูกาลลดหย่อนภาษีและผู้ซื้อที่มีศักยภาพสูง ส่วนใหญ่ก็ขายผลิตภัณฑ์ประเภทจ่ายครั้งเดียวและประเภทจ่ายระยะสั้น อาจต้องเผชิญปัญหาความไม่ต่อเนื่องในการเติบโตของเบี้ยประกัน
ซึ่งปีที่แล้วประกันควบการลงทุนมีการขยายตัวสูง จากอานิสงส์ดอกเบี้ยที่ต่ำมาก จึงมีความต้องการลงทุนใหม่ ๆ ที่ให้โอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น อีกทั้งลูกค้ากลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อสูงสะท้อนจากเบี้ยประกันภัยต่อกรมธรรม์ที่สูงมากเฉลี่ย 246,000 บาทต่อกรมธรรม์ เมื่อเทียบกับประกันแบบดั้งเดิม (สามัญ: ตลอดชีพและสะสมทรัพย์) ที่เฉลี่ย 37,000 บาทต่อกรมธรรม์
ด้านประกันสุขภาพ ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากหลายๆปัจจัยสนับสนุน เพราะความจำเป็นในกรณีเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและรวมถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง อัตราค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปีในอัตราเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 8-10% และการขยายระยะเวลาการคุ้มครองของสัญญาประกันสุขภาพ อานิสงส์จากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับปรุงสัญญามาตรฐานของประกันสุขภาพ ทำให้ผู้ซื้อประกันสามารถเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างสัญญาของแต่ละบริษัทได้สะดวกขึ้น และมีทางเลือกซื้อเพิ่มความคุ้มครองที่ไม่ซ้ำซ้อนกับสัญญาประกันสุขภาพที่มีอยู่แล้ว ฝั่งบริษัทประกันก็ขยายฐานลูกค้าได้จำนวนมากและกระจายความเสี่ยงการรับประกันได้ดีขึ้น
คือ ธุรกิจประกันยังต้องเผชิญความท้าทายเพิ่มขึ้น ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การปฏิบัติตามเกณฑ์ใหม่ ๆ ในระยะข้างหน้า กำลังซื้อประกันที่จำกัดและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และยังมีความเสี่ยงอื่นที่อาจเกิดขึ้นนอกเหนือความคาดข้างต้นนี้
กล่าวโดยสรุป สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจประกันชีวิตไม่มากเหมือนธุรกิจประกันภัย ในช่วงรอยต่อที่รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565-2566 ก่อนเข้าสู่มาตรฐานบัญชีใหม่ จึงต้องติดตามการปรับตัวของบริษัทประกันต่างๆ ทั้งโปรดักส์และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้เข้าถึงและเพิ่มโอกาสการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพื่อชดเชยกับขนาดเบี้ยต่อกรมธรรม์ที่มีทิศทางลดลงกว่าเดิม ให้ตอบโจทย์ภาวะลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการโปรดักส์ต่างๆอยู่
ปีเสือดุ จึงเป็นอีกปีที่ท้าทายฝีมือผู้บริหารบริษัทประกันชีวิต รวมไปถึงประกันภัย โบรกเกอร์ประกันด้วยจะสร้างผลงานให้เติบโตได้อย่างไร และราคาหุ้นจะไปต่อแบบไหน