"ทรีนีตี้" เปิดผลงานไตรมาสแรกของปี กวาดรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์กว่า 155 ล้านบาท เติบโตกว่า 14.12% กำไรสุทธิ 56.77 ล้านบาท ท่ามกลางตลาดหุ้นผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และโควิด-19 ในจีน และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กระทบต่อกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนลดลง ทำให้กำไรสุทธิลดลงเหลือ 56 ล้านบาท และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเหลือ 12.71%
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าบริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า จากภาพรวมการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงไตรมาส 1/2565 มีความผันผวนสูงจากสถานการณ์การทําสงครามของรัสเซียและยูเครน และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศจีนที่รุนแรงมากขึ้น ทําให้จีนยังคงมาตรการล็อคดาวน์ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรกขึ้นมาปิดที่ 1,695.24 จุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.27 จากสิ้นปีที่ดัชนีปิด 1,657.62 จุด และตลาดรวมมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 96,240 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปี 2564 ที่ 96,951 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 56.77 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 66.70 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลงร้อยละ 14.89 ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น155.05 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 135.86 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.12 โดยแบ่งเป็นรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 89.14 ล้านบาท เป็น 93.61 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.01 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้ารายย่อยของบริษัท และรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 26.39 ล้านบาท เป็น 45.19 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.25 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ระหว่างไตรมาส
อย่างไรก็ตาม จากสภาวการณ์ของตลาดที่มีความผันผวนในไตรมาส 1/2565 ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุน 25.34 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร และผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 68.67 ล้านบาท
นายชาญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 7,428.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์รวมเมื่อสิ้นปี 2564 ที่ 6,412.18 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการที่สําคัญ ได้แก่ เงินลงทุนจํานวน 1,143.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 891.94 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.39 ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจํานวน 4,296.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,660 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.83 และเงินให้กู้ยืมระยะสั้นอื่นจํานวน 1,398.76 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.83 ของสินทรัพย์รวมของปี 2565 ตามลําดับ
ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท และบริษัทย่อย จํานวน 1,816.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 ที่มีจํานวน 1,755.85 ล้านบาท โดยบริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นร้อยละ 12.71 ลดลงจากของปี 2564 มีอัตราร้อยละ 15.91 ต่อปี