Clubhoon ได้รวบรวมหุ้นในกลุ่ม SET 50 ที่ปรับตัวลดลงหนักสุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากที่มีข่าวดีเปิดประเทศ จู่ๆเกิดข่าวร้าย “โควิด Omicron” ขึ้นมาเบรกกระชากใจนักเล่นหุ้น ซึ่งในช่วงที่ราคาหุ้นร่วงแรง อาจเป็นจังหวะเข้าซื้อสำหรับคนที่เห็นว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสท้ายของปีนี้และทิศทางธุรกิจปีหน้ายังเติบโต และดันราคาหุ้นไปหาราคาเป้าหมายของหุ้นนั้นๆ ได้
หลังจากที่ 1 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2564 ปลุกใจนักลงทุนกลับเข้าตลาดหุ้นไทยกันอย่างคึกคัก หุ้นต่างพาเหรดกันปรับตัวขึ้น ด้วยความโล่งอกที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย และคาดหวังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ภาคธุรกิจต่างๆกลับมาเปิดดำเนินงานเต็มที่
แต่ทันทีที่เกิดข่าวร้ายพบโควิดพันธุ์ใหม่ “Omicron” ในแอฟริกาใต้ ส่งท้ายช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา สร้างความปั่นป่วนตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงแรง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย 3 วัน ดัชนีไหลลงกว่า 4% จากที่ระดับ 1,650 จุด (25 พ.ย.) รูดลงมาอยู่ที่บริเวณ 1,569 จุด (30 พ.ย.) ทำเอากำไรในตลาดหุ้นหายวับไปกว่า 80 จุดทีเดียว
อันดับแรกหุ้นที่ปรับตัวลงแรงสุด คือ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ราคาลงมาอยู่ที่ 27.25 บาท หลังร่วงกว่า 16.79% บล. CGS มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่ง ด้วยพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงอยู่ทั่วโลก และคาดหวังตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ผลดำเนินงานจะฟื้นกลับมาได้ จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 38 บาท
บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 46.50 บาท บล. CGS คาดว่าผลดำเนินงานไตรมาส 4 กำไรจากการด้าเนินงานจะปรับดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) คาด อัตรากำไรขั้นต้น (GRM) จะปรับสูงขึ้นต่อเนื่องใน ไตรมาสท้ายปี ด้วยแรงหนุนจากส่วนต่างราคาดีเซลและน้้ามันอากาศยานที่ปรับดีขึ้น จึงคาดว่า GRM ที่โตขึ้นจะช่วยชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงในกลุ่มอะโรเมติกส์และน้้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน และช่วยผลักดันกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ (GIM) ขึ้นได้ คงคำแนะน้า “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 67.0 บาท อิง 1.1 เท่า PBVปี 65 สอดคล้องค่าเฉลี่ยของกลุ่มในประเทศ ทั้งนี้มูลค่าหุ้นอยู่ที่ 67 บาทสะท้อนภาพรวมที่ดีของกลุ่มโรงกลั่นในปี2565
บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ราคาปรับลงมาอยู่ที่ 3.74 บาท ร่วงราว 13% บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดการณ์ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ผลดำเนินงานยังมีแรงกดดันจากสเปรดกลุ่มปิโตรเคมีที่อ่อนลง แม้ว่าภาพรวมของกลุ่มปิโตรเลียมจะทยอยกลับมาฟื้นตัวหลังโควิดคลี่คลาย จึงแนะนำ “ทยอยซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท
บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ราคาเหลือ 52 บาท ลดลง 12.20% บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า CPN ได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาแล้ว และคาดไตรมาส 4 จะฟื้นตัวได้จากการเปิดประเทศ และทำให้คนกลับมาเดินห้างกันคึกคัก ซึ่งจะช่วยให้การให้ส่วนลดของค่าเช่าพื้นที่ในห้าง น้อยลง จึงแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเป้าหมาย 61.50 บาท
บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 56.25 บาท ลดลง 12%เศษ บล. CGS มองภาพเชิงบวกสำหรับกลุ่มโรงกลั่นตั้งแต่ไตรมาส 4 นี้เป็นต้นไป ด้วแรงหนุนจากส่วนต่างราคาเบนซิน น้ำมันอากาศยานและดีเซลที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่ส่วนแบ่งจากธุรกิจโอเลฟินส์จะปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะอุปทานที่ตึงตัวในจีน ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการควบคุมการใช้พลังงานแบบคู่ขนาน (dualcontrol) จึงคาดกำไรปกติจะปรับดีขึ้นจากไตรมาส 3 และในไตรมาส 4 นี้ คาด GRM จะปรับเพิ่มเป็น US$5.0/bbl (+56% QoQ) จากส่วนต่างราคาเบนซิน น้้ามันอากาศยาน และ ดีเซลที่ปรับสูงขึ้น ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ฟื้นขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์ คงคำแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 66.00 บาท อิง 1 เท่า PBV ปี 64
บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ (GULF) ราคาลงมา 39.25 บาท บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 44 บาท ประเมินว่า ไตรมาส 4 นี้มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาจากโครงการ GSRC หน่วยที่ 2 และ โครงการ Mekong Wind Project เฟส 1 ซึ่งเริ่มจ่ายไฟแล้ว ทำให้มีรายได้เข้า และปีหน้ายังมีอีกหลายโครงการที่หนุนผลงาน แนวโน้มกำไรในปีนี้ยังดีและสามารถเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า โดยคาดจะเติบโต 58% และ 18% ตามลำดับ
บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR ) ราคาไหลมาที่ 25 บาท ลดลงกว่า 9% ขณะที่บล. CGS ให้ราคาเป้าหมายเพียง 27 บาท หลังจากไตรมาส 3 กำไรสุทธิลดลง 6% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบมาตรการล็อกดาวน์ แนวโน้มในไตรมาส 4 จะปรับดีขึ้นจากปริมาณการขายน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น แต่อัตรากำไรน้ำมันเผชิญกับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นและกำหนดเพาดานราคาดีเซล ซึ่งจะฉุดกำไรลดลง แต่หากมองข้ามชอตไปครึ่งปีแรกของปีหน้า คาดว่ายอดขายธุรกิจน้ำมันและมิใช่น้ำมันจะกลับสู่ระดับปกติได้ จึงแนะนำ “ถือ”
บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) ราคาอยู่ที่ 58.50 บาท ลดลง 8% บล. เอเซีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมาย 67 บาท โดยคาดว่า ผลประกอบการของไตรมาส 4 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 3 ที่ต่ำสุด หลังคลายล็อกดาวน์หนุนให้กลับมาเปิดให้บริการและมีการเดินทางได้ปกติ จึงคาดว่าอัตรากำไรจะฟื้นตัว แต่โดยภาพรวมปีนี้ ผลดำเนินงานยังลดลง โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,836 ล้านบาท พร้อมกับปรับสมมติฐานอัตราก าไรขั้นต้นปี 2564 เป็น 21.2% จากเดิม 21.6% และปรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 230 ล้านบาทเป็นส่วนแบ่งขาดทุน 400 ล้านบาท หลังโลตัสได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่นกัน
บมจ. คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ราคาลงมายืน 113.50 บาท ติดลบ 8.47% บล. เอสบีไอไทย ออนไลน์ (SBITO) ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 อยู่ที่ 131 บาท หลังจากไตรมาส 3 กำไรลดลงเหลือ 600 ล้านบาท หรือ-38% จากแรงกดดันอัตรากำไรและรายได้จากต่างประเทศ แม้ไตรมาส 4 มีแนวโน้มฟื้นตัวก็ตาม แต่ภาพรวมกำไรปีนี้ ยังอ่อนแอจากยอดขายใน CLMV และจีน ที่ลดลง จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เหลือเพียง 2.94 พันล้านบาท และปีหน้า 3.62 พันล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” รับการฟื้นตัวตั้งแต่งวดไตรมาส 4 เป็นต้นไป
ปิดท้ายอันดับสิบ หุ้นของบมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) 29.75 บาท ลงมา 8.46% บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับราคาพื้นฐานลงมาอยู่ที่ 40 บาท แม้ธุรกิจยางธรรมชาติจะกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่ง แต่เนื่องจากผลดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสออกมาย่ำแย่กว่าคาดการณ์ จึงต้องปรับประมาณการกำไรลดลงมาที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 68%จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลปรับลดคาดการณ์ปริมาณการขายและส่วนต่างกำไร แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”