จับตาตลาดหุ้นบ่ายนี้จะเป็นยังไง​ หลังครม.ไฟเขียวเก็บภาษีซื้อขายหุ้น ปีแรก​ 2566​ เริ่มเก็บอัตรา 0.055%  ปี​ถัดไปเก็บเต็ม​ 0.10% ของมูลค่าที่ขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน​ ว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบ  ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่... พ.ศ...(การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์) การเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในอัตรา 0.10%  โดยเก็บภาษีจากธุรกรรมการขายหุ้น (Transaction Tax) ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคำนวณจากรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยจะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.10% (อัตราตามมาตรา 91/6(1)) ของมูลค่าที่ขาย

กระทรวงการคลังรายงาน ครม.ว่าภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534 ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 240) พ.ศ.2534 จนถึงปัจจุบัน

ซึ่งกระทรวงการคลัง​ มีความจำเป็นต้องเก็บภาษีดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับภาครัฐ หลังจากที่ได้มีการยกเว้นการจัดเก็บมาอย่างยาวนาน โดยการนำกฎหมายภาษีตัวใดออกมาใช้ในประเทศนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆว่า มีการฟื้นตัวแล้วหรือยัง

เบื้องต้นคาดว่าการจัดเก็บรายได้ส่วนนี้จะทำให้ภาครัฐได้รายได้เพิ่มขึ้น 1 - 2 หมื่นล้านบาทต่อปี 

โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในไตรมาส 2 ปี 2566 อย่างไรก็ตาม​ ในช่วงปีแรกจะเก็บอัตรา 0.055%  ประกอบด้วยภาษีขายหุ้น 0.050% และภาษีท้องถิ่น 0.005% ไปจนถึงสิ้นปี​ 2566​ หลังจากนั้นจะเก็บในอัตรา​ 0.10%

ด้านบล.กสิกรไทย​ ให้ความเห็นว่า  การเก็บภาษีขายหุ้น  ของภาครัฐ แม้จะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น 1-2 หมื่นลบ. ต่อปี แต่จะส่งผลลบต่อตลาด โดยภาษีขายหุ้น จะทำให้

1)มูลค่าการซื้อขายของตลาดลดลง เพราะจะลดแรงจูงใจในการเทรดของนักลงทุน โดยเฉพาะธุรกรรมในกลุ่ม high-frequency trading

2) ความนิยมในการซื้อขายหุ้นในตลาดที่ลดลง ส่งผลให้ค่า PE ของหุ้นและตลาดต่ำลง ต้นทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น 

3) ลดแรงจูงใจในการนำบริษัทเข้าตลาดถ้า PE ไม่น่าจูงใจ